ความเป็นมาและความส้าคัญของปัญหา
แนวพระราชดำริที่เกี่ยวข้อง
เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2556 ณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทองอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้มีพระราชปรารถถึงเรื่อง "ปุ๋ยสั่งตัด" ว่าถ้าหากมีความรู้ด้านนี้ จะเป็นประโยชน์กับเกษตรกร ทำให้ไม่ต้องเปลืองปุ๋ยมากเกินความต้องการของพืช
ปุ๋ยสั่งตัด
เทคโนโยลี "ปุ๋ยสั่งตัด" เป็นเทคโนโลยีการจัดการธาตุอาหารพืชเฉพาะพื้นที่ คำแนะนำ "ปุ๋ยสั่งตัด" ได้จากการนำปัจจัยหลักที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตและการให้ผลผลิตของพืช ได้แก่ พันธุ์พืช แสงแดด อุณหภูมิ ความชื่น ปริมาณน้ำฝน ชุดดิน ปริมาณไนโตรเจน ฟอสรัสและโพแทสเซียมในดินขณะนั้น มาพิจารณาร่วมกันโดยใช้แบบจำลองการปลูกพืช และโปรแกรมสนับสนุนการตัดสินใจ มาคำนวณโดยคอมพิวเตอร์เพื่อคาดคะเนคำแนะนำ "ปุ๋ยสั่งตัด" สำหรับข้าวที่ปลูกในดินเท่ากัน จะมีความต้องการปุ๋ยแตกต่างกัน นอกจากนี้ ยังแนะนำให้เกษตรกรสังเกตการเจริญเติมโตและการให้ผลผลิตของข้าวเพื่อปรับการใช้ปุ๋ยให้แม่นยำมากขึ้น เปรียบเสมือนเสื้อที่มีขนาดพอดีตัว สำหรับเทคโนโลยี "ปุ๋ยสั่งตัด" มี 3 ขั้นตอนคือ
ขั้นตอนที่ 1 ตรวจสอบข้อมูลชุดดิน สอบถามข้อมูลชุดดินที่สถานีพัฒนาที่ดิน ศึกษาจากแผนที่ชุดดินระดับตำบล
ขั้นตอนที่ 2 วิเคาระห์ไนโตรเจน ฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมในดิน โดยชุดวิเคาระห์ดินอย่างง่าย (KU Soil test kit) สามารถทราบระดับไนโตรเจน ฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมในดิน แบบรวดเร็วใช้เวลาเพียง 30 นาที และเกษรตกรทำได้ด้วยตนเอง แต่ต้องเก็บตัวอย่างดินให้ถูกวิธี
ขั้นตอนที่ 3 ใช้ปุ๋ยตามคำแนะนำ ศึกษาจากคู่มือคำแนะนำ "ปุ๋ยสั่งตัด" หรือโปรแกรม SimRice สำหรับข้าวที่เว็บไซต์ http://www.ssnm.info (ทัศนีย์ และคณะ , 2559)
การเก็บตัวอย่างดิน
พื้นที่ที่จะเก็บตัวอย่างดินไม่ควรเปียกแฉะหรือมีน้ำท่วมขังจะทำให้เข้าไปทำงานลำบาก แต่ถ้าแห้งเกินไปดินจะแข็งดินความมีความชื้นเล็กน้อยจะทำให้ขุดและเก็บได้ง่ายขึ้น ไม่เก็บตัวอย่างดินบริเวณที่เคยเป็นบ้าน หรือโรงเรือนเก่าจอมปลวก เก็บให้ห่างไกลจากบ้านเรือน อาคารที่อยู่อาศัย คอกสัตว์ และบริเวณจุดที่เคยเป็นบ้าน หรือสารเคมีอื่นๆ ต้องบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับตัวอย่างดินของแต่ละตัวอย่างตามแบบฟอร์ม "บันทึกรายละเอียดตัวอย่างดิน" ให้มากที่สุดเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการให้คำแนะนำการจัดการดินให้ถูกต้องที่สุด
ขั้นตอนการเก็บตัวอย่างดิน
1. เตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นได้แก่ เครื่องมือสำหรับขุดหรือเจาะเก็บดิน เช่น พลั่ว จอบ และเสียม ส่วนภาชนะที่ใส่ดิน เช่น ถังพลาสติก กล่องกระดาษแข็ง กระบุง ผ้ายางหรือผ้าพลาสติก และถุงพลาสติกสำหรับใส่ตัวอย่างดินส่งไปวิเคาระห์
2. ขนาดของแปลงที่จะเก็บตัวอย่างดินไม่จำกัดขนาดแน่นอนขึ้นอยู่กับความแตกต่างของพื้นที่ (ที่ราบ ที่ลุ่ม ที่ลาดชัน เนื้อดิน สีดิน) ชนิดพืชที่ปลูกและการใช้ปุ๋ยหรือการใช้ปูนที่ผ่านมา แปลงปลูกพืชที่มีความแตกต่างดังกล่าวจะต้องแบ่งพื้นที่เป็นแปลงย่อยเก็บตัวอย่างแยกกันเป็น แปลงละตัวอย่าง พื้นที่ราบ เช่น นาข้าวขนาดไม่ควรเกิน 50 ไร่ พื้นที่ลาดชัน ขนาดแปลงละ 10-20 ไร่ พืชผักสวนครัว ไม้ดอก ไม้ประดับ ขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่ที่ปลูก
3. สุ่มมเก็บตัวอย่างดิน กระจ่ายให้ครอบคลุมทั่วแต่ละแปลง ๆ 15.20 จุดก่อนขุดดินจะต้องถางหญ้า กวาดเศษพืช หรือวัสดุที่อยู่ผิวหน้าดินออกเสียก่อน (อย่าแซะหรือปาดหน้าดินออก) แล้วใช้จอบ เสียมหรือพลั่ม ขุดหลุม เป็นรูป V ให้ลึกในแนวดิ่งประมาณ 15 เซนติเมตร หรือในระดับไถพรวน (สำหรับพืชทุกชนิด ยกเว้นสนามหญ้าเป็บจากผิวดินลึก 5 เซนติเมตร และไม้ยืนต้นเก็บจากผิวลึก 30 เซนติเมตร) แล้วแซะเอาดินด้านหนึ่ง เป็นแผ่นหนาประมาณ 2-3 เซนติเมตร จากปากหลุมถึงก้นหลุม ดินที่ได้นี้เป็นดินจาก 1 จุด ทำเช่นเดียวกันนี้จนครบ นำดินทุกจุดใส่รวมกันในถึงพลาสติกหรือภาชนะที่เตรียมไว้
4. ดินที่เก็บมารวมกันในถึงนี้ถือว่าเป็นตัวอย่างดินที่เป็นตัวแทนของที่ดินแปลงนั้น เนื่องจากดินมีความชื้นจึงต้องทำให้แห้ง โดยเทดินในแต่ละถังบนแผ่นผ้าพลาสติก หรือผ้ายางแยกกัน ถังละแผ่นเกลี่ยดินผึ่งไว้ในที่ร่มจนแห้งดินที่เป็นก้อนให้ใช้ทุบให้ละเอียดพอประมาณ แล้วคลุกเคล้าให้เข้ากันจนทั้ว
5. ตัวอย่างดินที่เก็บในข้อ 4 อาจมีปริมาณมากแบ่งส่งไปวิเคราะห์เพียงครึ่งกิโลกรัมก็พอ วิธีีการแบ่งเกลี่ยตัวอย่างดินแผ่ให้เป็นรูปวงกลมแล้วแบ่งผ่ากลางออกเป็น 4 ส่วนเท่ากันเก็บดินมาเพียง 1 ส่วนหนักประมาณครึ่งกิโลกรัมใสในถุงพลาสติกที่สะอาดพร้อมด้วยแบบฟอร์มที่บันทึกรายละเอียดของตัวอย่างดินเรียบร้อยแล้วปิดปากถุงให้แน่นส่งไปวิเคราะห์ (กรมพัฒนาที่ดิน,2552)