ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา
เห็ดนางรม (oyster mushroom) เป็นเห็ดที่เกษตรกรนิยมเพาะเลี้ยงกันมากเนื่องจากเป็นเห็ดที่เพาะง่าย มีขั้นตอนของการเพาะเลี้ยงที่ไม่ซับซ้อน สามารถเพาะเลี้ยงได้ในทุกภูมิภาคของประเทศ เกษตรกรในภาคเหนือนิยมเพาะเลี้ยงเห็ดนางรมมากเป็นพิเศษเนื่องจากว่าเป็นเห็ดที่สามารถเพาะเลี้ยงได้ในฤดูหนาวในขณะที่เห็ดเศรษฐกิจชนิดอื่น ๆ ส่วนใหญ่พักตัวในช่วงที่อากาศหนาวเย็นดังนั้นเห็ดนางรมจึงช่วยให้เกษตรกรสามารถผลิตเห็ดเป็นการค้าได้ตลอดปีนอกจากนี้แล้วเห็ดนางรมยังมีคุณสมบัติพิเศษคือสามารถนำไปแปรรูปได้หลายรูปแบบอีกด้วย
ประวัติการเพาะเลี้ยงเห็ดนางรม
ถิ่นกำเนิดของเห็ดนางรมอยู่ในประเทศแถบยุโรป พบได้ทั่วไปในเขตอบอุ่น เห็ดสกุลนี้มีหลายชนิด ขึ้นอยู่ตามตอไม้ผุของต้นไม้ชนิดที่มีใบกว้างหลายชนิดในป่า ผู้คนที่อยู่ในประเทศต่าง ๆ ของยุโรปและของสหรัฐอเมริกาได้นำเห็ดนางรมนานาชนิดมาเพาะเลี้ยง และพบว่าเห็ดชนิดต่าง ๆ ในสกุลของเห็ดนางรมเป็นเห็ดที่เลี้ยงได้บนวัสดุเพาะเลี้ยงที่หลากหลาย เช่น เลี้ยงได้ในวัสดุที่เป็นผลผลิตจากไม้ในลักษณะของขี้เลื่อย กระดาษ และ เศษของเยื่อกระดาษ เศษวัสดุจากต้นของธัญพืช เช่น ฟางข้าว ซังข้าวโพด และ กากอ้อย รวมทั้งเศษวัสดุจากการผลิตกาแฟ เช่น กากกาแฟ เปลือกหุ้มเมล็ดกาแฟ ก้านผลกาแฟ และ ใบกาแฟ เป็นต้น ใบกล้วย กากเมล็ดฝ้าย ใยของใบอะกาเว่ กากถั่วเหลือง และ เศษวัสดุจากพืชอีกหลายชนิดที่มีส่วนประกอบของลิกนินและเซลลูโลสล้วนแล้วแต่ใช้ในการนำมาเพาะเห็ดนางรมได้
การเพาะเลี้ยงเห็ดนางรมในประเทศไทยนั้นมีรายงานกล่าวไว้ว่า ดร.วินิจ แจ้งศรี ได้นำเชื้อเห็ดนางรมชนิด Pleurotus florida มาจากสหรัฐอเมริกาเมื่อ พ.ศ. 2502 และ อาจารย์พันทวี ภักดีดินแดนได้ศึกษาวิจัยจนสามารถเพาะเลี้ยงเห็ดชนิดนี้ได้สำเร็จใน พ.ศ. 2504 โดยเพาะในวัสดุที่มีฟางข้าวและขี้เลื่อยเป็นวัสดุหลัก และต่อมาได้มีการพัฒนาเทคนิคการเพาะเลี้ยงในถุงพลาสติกและใช้กันแพร่หลายทั่วประเทศ โดยเพาะเลี้ยงเห็ดชนิดต่าง ๆ ในสกุลเห็ดนางรม ซึ่งได้แก่ เห็ดนางรมฮังการี เห็ดนางรมภูฐาน เห็ดเป๋าฮื้อ และ เห็ดนางรมชนิดอื่นๆ การเพาะเลี้ยงเห็ดในสกุลเห็ดนางรมนี้เพาะเลี้ยงได้ผลดีตลอดปีเพราะว่าเห็ดพวกนี้หลายชนิดมีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมแบบต่าง ๆ ได้ดี ทำให้การเพาะเลี้ยงทำได้ง่ายและเพาะเลี้ยงกันอย่างแพร่หลายในเวลาต่อมา
ลักษณะทั่วไปและการจำแนกเห็ดนางรม
เห็ดนางรมเป็นเห็ดประเภทที่มีการสร้างหมวกดอก (cap) และหมวกดอกของเห็ดกลุ่มนี้มีรูปร่างคล้ายกับหอยนางรมจึงได้ชื่อสามัญไทยตามชื่อของหอยนางรม ส่วนประกอบของเห็ดนางรมมี คือ
1) หมวกดอกมีผิวเรียบลักษณะแบนราบและเว้าเป็นแอ่งตรงกลาง ขอบกลีบดอกโค้งลงด้านล่างเล็กน้อย หมวกดอกมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 2-15 เซนติเมตร สีของหมวกดอกแตกต่างกันไปตามชนิดของเห็ด
2) ก้านดอก (stalk) ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้สำหรับชูหมวกดอกขึ้นไปในอากาศนั้นมีขนาดค่อนข้างสั้นถึงยาวปานกลางและเจริญเข้าหาแสง ก้านดอกเห็ดอยู่ค่อนไปข้างหนึ่งของหมวกดอก ไม่อยู่กึ่งกลางหมวกดอก ก้านโค้งงอเล็กน้อย กว้าง 0.5-2.0 เซนติเมตร และ ยาว 1.0-10.0 เซนติเมตร 3) ครีบดอก (gill) มีลักษณะเป็นแผ่นบาง ๆ สีขาวหรือสีเทา ที่บริเวณครีบดอกเป็นแหล่งสร้างสปอร์ (spore) สปอร์มีสีขาวอมม่วงจาง รูปร่างกลมรี มีติ่งขนาดเล็กที่ปลายข้างหนึ่ง เห็ดนางรมขึ้นอยู่เป็นกลุ่ม แต่บางชนิดอาจจะออกเป็นดอกเดี่ยว โคนก้านดอกของดอกเห็ดอยู่ติดกัน (ภาพที่ 1)

ภาพที่ 1 ลักษณะของดอกเห็ดนางรม
เห็ดในกลุ่มเห็ดนางรมมีชื่อสกุลว่า Pleurotus สำหรับการจำแนกเห็ดนางรมนั้นเดิมที Singer (1986) ได้จัดเห็ดในสกุลเห็ดนางรมไว้ในวงศ์ Ployporaceae แต่ว่านักอนุกรมวิธานคนอื่น ๆ เห็นว่า Pleurotus ควรจะต้องจัดไว้ในวงศ์ Tricholomataceae มากกว่า แต่อย่างไรก็ตามได้มีการจัดโดย Watling และ Gregory (1989) ว่า Pleurotus น่าจะแยกออกมาเป็นวงศ์ของตนเอง คือ Pleurotaceae แต่ก็ยังไม่มีการเสนอข้อสรุปที่ชัดเจน จึงยังคงจัดไว้ในวงศ์ Tricholomataeae ก่อนจนกว่าจะมีข้อสรุปทางพันธุกรรมที่แน่นอน
การจำแนกเห็ดนางรมมีดังนี้
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Pleurotus spp.
ชื่อสามัญ : เห็ดนางรม, oyster mushroom
Class : Basidiomycetes
Subclass : Holobasidiomycetidae
Order : Agaricales
Family : Tricholomataceae
ชนิดของเห็ดนางรม
Pleurotus หรือเห็ดในสกุลเห็ดนางรมชนิดที่มีการนำมาเพาะเลี้ยงเพื่อการค้ามีหลายชนิดดังต่อไปนี้
1. Pleurotus citrinopileatus Singer ชื่อสามัญไทย คือ เห็ดนางรมสีทอง ชื่อสามัญอื่น ๆ คือ golden oyster mushroom, tamokitae (ญี่ปุ่น) และ Il’mak (รัสเซีย) เห็ดนางรมสีทอง (ภาพที่ 2) มีหมวกดอกขนาด 2-5 เซนติเมตร หมวกดอกแบนราบหรือเว้าเป็นแอ่งเล็กน้อยเมื่อดอกเห็ดแก่เต็มที่ ก้านดอกสีขาว เห็ดนางรมชนิดนี้มีดอกเห็ดเกิดขึ้นหนาแน่นบนฐานเดียวกัน เมื่อหมวกดอกแก่สีเหลืองทองจะซีดลงเป็นสีเนื้อ เห็ดนางรมสีทองมีแหล่งกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติอยู่ในป่าบนเขาในเขตกึ่งหนาวของจีน ญี่ปุ่นตอนใต้ และประเทศข้างเคียง ชอบขึ้นบนไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้ oak, elm, beech และ poplar สปอร์ของเห็ดนี้มีสีชมพูอ่อน ขนาด 7.5-9.0X3.0-3.5 ไมครอน มีข้อยึดระหว่างเซลล์ (clamp connection) เส้นใยอยู่เป็นกลุ่มแน่น มีลักษณะเหมือนปุยฝ้ายสีขาว เพาะเลี้ยงได้บนก้อนเชื้อที่ใช้ฟาง กากเมล็ดฝ้าย หรือ ขี้เลื่อยไม้เนื้อแข็ง หรืออาจจะใช้กากอ้อย เยื่อกระดาษ ใบอ่อนกล้วย เปลือกถั่วลิสง และ กากกาแฟ
เห็ดนางรมสีทองมีโปรตีนสูงและมีสรรพคุณทางยาในการช่วยลดโคเสลเตอรอล จำหน่ายในรูปของเห็ดสดและเห็ดแห้ง
2. Pleurotus cystidiosus O.K.Miller ชื่อสามัญไทย คือ เห็ดเป๋าฮื้อ (ภาพที่ 2) ชื่อสามัญอื่น ๆ คือ lbalone mushroom, maple oyster mushroom และ Miller’s oyster mushroom หมวกดอกมีลักษณะนูนจนถึงนูนเล็กน้อย กว้าง 2-5 เซนติเมตร สีครีมจนถึงขาวขุ่น ขอบหมวกดอกไม่สม่ำเสมอ ครีบดอกกว้างและค่อนข้างจะห่างกัน ก้านดอกสั้นและหนา สปอร์สีขาวขนาด 11-14X4-5 ไมครอน แหล่งกระจายพันธุ์ของเห็ดเป๋าฮื้ออยู่ตั้งแต่ทางด้านตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกาไปจนถึงไต้หวันและอัฟริกาใต้ ในธรรมชาติเห็ดเป๋าฮื้อขึ้นอยู่บนไม้ red maple, eastern cottonwood, sweet- gum และ Asian oak การเพาะเลี้ยงเห็ดเป๋าฮื้อสามารถใช้ขี้เลื่อยของไม้เนื้อแข็งหรือฟางเป็นวัสดุก้อนเชื้อ จำหน่ายเป็นเห็ดสดหรือเห็ดแห้งหรือแปรรูปเป็นเห็ดกระป๋อง
3. Pleurotus djamor (Fries) Boedjin sensu lato หรือชื่อพ้อง P. flabellatus (Berk. and Br.) Saccardo ชื่อสามัญไทย คือ เห็ดนางนวล ชื่อสามัญอื่น ๆ คือ pink oyster mushroom, salmon oyster mushroom, strawberry oyster, flamingo mushroom, takiiro hiratake (ญี่ปุ่น) และ tabang ngungut (บอร์เนียวเหนือ) เห็ดนางนวล (ภาพที่ 2) นี้เป็นเห็ดที่ขึ้นในป่าทั่วไปในเขตร้อนของโลก มีชื่อเสียงในด้านการออกดอกเห็ดเร็วและสามารถปรับตัวได้ดีมากในสภาพของการเพาะเลี้ยงที่แตกต่างทั้งในแง่ของวัสดุที่ใช้เพาะเลี้ยงและความทนทานต่ออุณหภูมิสูง สีชมพูของดอกเห็ดของเห็ดนางนวลนี้เมื่อดอกเห็ดเริ่มแก่สีชมพูจะจางลงกลายเป็นสีฟาง หมวกดอกแบนและเว้าลงเป็นแอ่งตรงกลางหมวกดอก ขอบของหมวกดอกม้วนเข้าแต่เมื่อเห็ดเริ่มแก่ขอบหมวกดอกจะกลับม้วนออก ครีบดอกเป็นสีชมพูเข้มในระยะที่ดอกเห็ดยังอ่อนอยู่ต่อมาสีจะจางลงเป็นสีเนื้อ สปอร์เป็นสีชมพูมีขนาด 6-10X4-5 ไมครอน ผิวเรียบ รูปทรงกระบอก มีข้อยึดระหว่างเซลล์ เส้นใยสีขาวในตอนแรกต่อมาเปลี่ยนเป็นสีชมพู ดอกเห็ดออกเป็นกลุ่ม การกระจายพันธุ์ในธรรมชาติของเห็ดนางนวลคือพบทั่วไปในเขตร้อนและกึ่งร้อนของโลก เห็ดนางนวลเป็นที่นิยมเพาะเลี้ยงกันในไทย กัมพูชา สิงคโปร์ เวียตนาม ศรีลังกา มาเลเซีย นิวกินี บอร์เนียวเหนือ ญี่ปุ่น บราซิล และ เม็กซิโก ในธรรมชาติเห็ดนางนวลขึ้นอยู่บนไม้เนื้อแข็งรวมทั้งไม้ปาล์มและไม้ยางพาราหรือแม้แต่ไผ่ ในการเพาะเลี้ยงสามารถเลี้ยงในขี้เลื่อยของไม้เนื้อแข็ง ฟางข้าว ซังข้าวโพด กากเมล็ดกาแฟ กากเมล็ดฝ้าย เศษวัสดุจากต้นปาล์ม และ กากอ้อย จำหน่ายเป็นเห็ดสดหรือเห็ดแห้ง
4. Pleurotus eryngii (De Candolle ex Fries) Quelet sensu lato ชื่อสามัญไทย คือ เห็ดนางรมหลวง (ภาพที่ 2) ชื่อสามัญอื่น คือ King oyster mushroom และ Boletus of the step- pes เห็ดนางรมชนิดนี้ขนาดความกว้างของหมวกเห็ดเป็น 3-12 เซนติเมตร ในระยะแรกหมวกดอกโค้งนูนต่อมาจะเปลี่ยนรูปร่างเป็นแบบกรวยและขอบหมวกดอกม้วนเข้า ก้านดอกยาว 3-10 เซนติเมตร มีความหนา โคนก้านใหญ่ ครีบดอกห่างและบาง สีเทา ดอกเห็ดเกิดเป็นดอกเดี่ยวหรืออยู่เป็นกลุ่มเพียงไม่กี่ดอก สปอร์มีสีขาว รูปร่างรี ขนาด 10-14X4-5 ไมครอน และมีข้อยึดระหว่างเซลล์ เส้นใยมีสีขาว การกระจายพันธุ์ในธรรมชาติมีทั่วยุโรปตอนใต้ อัฟริกาตอนเหนือ เอเชียกลาง และ รัสเซียใต้ ขึ้นอยู่บนรากไม้ใต้ดินและชูดอกเห็ดขึ้นมาที่ผิวดิน เพาะเลี้ยงได้บนขี้เลื่อยไม้เนื้อแข็ง ฟางข้าว กากเมล็ดฝ้าย และ ใช้ก้อนเชื้อเก่าที่ใช้เลี้ยงเห็ดหอมมาหมุนเวียนเลี้ยงเห็ดนางรมหลวงได้ผล จำหน่ายเป็นเห็ดสด เห็ดแห้ง หรือ ทำเป็นผง
5. Pleurotus euosmus (Berkeley apud Hussy) Saccardo ชื่อสามัญคือ Tarra- gon oyster mushroom เห็ดนางรมชนิดนี้ใกล้เคียงกับชนิด P. ostreatus มาก แต่แตกต่างกันที่กลิ่นและขนาดของสปอร์ โดยที่สปอร์ของเห็ดเหล่านั้นมีขนาด 12-14 ไมครอน และ 7.5-11 ไมครอน ตามลำดับ หมวกดอกของเห็ดนางรมชนิดนี้มีลักษณะแบนและบางลงเมื่อเห็ดแก่ หมวกดอกที่บานเต็มที่มีขนาดกว้าง 8-15 เซนติเมตร หมวกดอกเว้าลงเป็นแอ่งตรงกลางและแอ่งลึกลงเมื่อดอกเห็ดแก่ลง หมวกดอกมีสีน้ำตาลอ่อนหรือสีเนื้อ ต่อมามีสีเข้มขึ้นและอาจจะมีสีน้ำเงินเจือ ครีบดอกห่างและเป็นร่องลึกลงมาตามก้านดอกซึ่งมีขนาดสั้นหรือบางครั้งไม่มีก้านดอก ส่วนเห็ดนางรมชนิด P. eous (Berkeley) หรือที่มีชื่อสามัญไทยว่าเห็ดนางรมภูฐานหรือ Bhutan oyster mushroom นั้นไม่มีความใกล้เคียงกับ P. euomus และ P. ostreatus แต่จะใกล้เคียงกับ P. djamor มากกว่า
6. Pleurotus ostreatus (Jacquin ex Fries) Kummer มีชื่อสามัญว่า เห็ดนางรมฮังการี มีชื่อสามัญอื่นว่า oyster mushroom, oyster shelf, tree oyster mushroom, straw mushroom, hiratake (ญี่ปุ่น) และ tamogitake mushroom (ญี่ปุ่น) เห็ดนางรมฮังการี (ภาพที่ 2) นี้ถือได้ว่าเป็นชนิดที่เป็นตัว แทนของกลุ่มเห็ดนางรม ปัจจุบันมีการปลูกเลี้ยงแพร่หลายมากทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศ ในประเทศไทยนั้นใช้เห็ดนางรมชนิดนี้รวม 4 สายพันธุ์ ได้แก่ เห็ดนางรมขาว (white type หรือ Flori- da type) เห็ดนางรมสีเทา (grey type or winter type) เห็ดนางรมดอย (blue type) และ เห็ดนางรมฮังการี (tree oyster mushroom) ลักษณะของเห็ดนางรมกลุ่มนี้คือมีหมวกดอกที่เว้าเป็นแอ่งและเมื่อดอกเห็ดแก่หมวกดอกจะแบนลงหรือขอบหมวกอาจจะยกขึ้น ขนาดของหมวกดอกกว้าง 5-20 เซนติเมตร สีของหมวกดอกคือสีขาวถึงสีเหลืองหรือเหลืองอมเทาจนถึงสีน้ำตาลอ่อนหรือน้ำตาลอมเทา โดยที่สีของหมวกดอกแตกต่างไปตามสายพันธุ์ การได้รับแสง และ สภาพของอุณหภูมิในขณะที่เกิดดอกเห็ด สปอร์เป็นสีขาวหรือม่วงอ่อนหรือม่วงอมเทา ขนาด 7.5-9.5x3.0-4.0 ไมครอน มีข้อยึดระหว่างเซลล์ เส้นใยมีสีขาว บางสายพันธุ์ดอกเห็ดเกิดเป็นดอกเดี่ยว บางสายพันธุ์ดอกเห็ดเกิดเป็นกลุ่ม แพร่กระจายในธรรมชาติในป่าเขตร้อนและเขตอบอุ่นของโลก โดยขึ้นบนไม้ oak, cottonwood, alder, maple, aspen, ash, beech, birch, elm, willow และ poplar เพาะเลี้ยงได้บนเศษวัสดุอินทรีย์ ฟางข้าว ซังข้าวโพด กากอ้อย เปลือกเมล็ดกาแฟ กากเมล็ดฝ้าย เยื่อกระดาษ กากถั่วเหลือง กากน้ำมันปาล์ม และ ขี้เลื่อยไม้เนื้อแข็ง
7. Pleurotus pulmonarius (Fries) Quelet หรือชื่อพ้องว่า P. sajor-caju Sin- ger ชื่อสามัญไทยว่า เห็ดนางฟ้า (ภาพที่ 2) ชื่อสามัญอื่นคือ Indian oyster, phoenix mushroom, dhingri (อินเดีย) เป็นเห็ดที่มีความใกล้เคียงกับเห็ดนางรมมากแต่มีการกระจายพันธุ์ในป่าสนได้กว้างขวาง พบบนพื้นที่สูงกว่าเห็ดนางรม เห็ดนางฟ้ามีหมวกเห็ดแบนและเป็นแอ่งลงตรงกลางหมวกดอก ขอบหมวกดอกมักจะม้วนขึ้นและเป็นคลื่นเมื่อดอกเห็ดแก่ลง ขนาดหมวกดอกกว้าง 5-20 เซนติเมตร หมวกดอกมีสีขาวอมเทาถึงสีเนื้อหรือค่อนไปทางเทาอมม่วงหรือเทาอมน้ำตาล บางครั้งมีสีชมพูเจือเล็กน้อย ถ้าอยู่ในสภาพที่อุณหภูมิสูงหมวกดอกมีสีอ่อน แต่ถ้าอุณหภูมิต่ำหมวกดอกมีสีเข้มขึ้นเป็นเทาแก่หรือเทาดำ สีของหมวกดอกผันแปรไปตามสายพันธุ์ สภาพแสง และ สภาพอุณหภูมิ สปอร์สีขาวถึงเหลืองหรือม่วงอมเทาถ้าอยู่กันหนาแน่น รูปร่างเป็นทรงกระบอก มีข้อยึดระหว่างเซลล์ เส้นใยสีขาว ดอกเห็ดอาจเกิดเป็นดอกเดี่ยวหรือเป็นกลุ่ม การกระจายพันธุ์มีพบทั่วไปในตอนเหนือของอเมริกาและยุโรป ขึ้นบนตอไม้ผุ เพาะเลี้ยงได้บนวัสดุอินทรีย์ ขี้เลื่อยไม้เนื้อแข็ง เศษฟาง ซังข้าวโพด กากอ้อย กากเมล็ดกาแฟ และ กากเมล็ดฝ้าย
8. Pleurotus tuberregium (Fr.) Singer ชื่อสามัญไทย คือ เห็ดนางรมหัว (ภาพที่ 2) ชื่อสามัญอื่น คือ King tuber oyster mushroom, King tuber, tiger milk mushroom และ Omon’s oyster mushroom การออกดอกเห็ดของเห็ดนางรมหัวเกิดจากกลุ่มของเส้นใยซึ่งรวมตัวกันแน่น (sclerotia) มีรูปทรงเป็นก้อนหรือมีรูปร่างเป็นก้อนกลมรี มีสีขาวหรือสีเนื้อ sclerotia ดังกล่าวนี้ฝังอยู่ในก้อนเชื้อเป็นก้อน ๆ ต่อมาก้อนเส้นใยเหล่านี้จะเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีเข้มขึ้นจนเป็นสีน้ำตาลแก่เกือบดำในระยะที่ยืดตัวเพื่อออกจากก้อนเชื้อ จุดกำเนิดของดอกเห็ดเกิดอยู่ในก้อน sclerotia หรือที่เรียกในระยะนี้ว่าหัว sclerotia แต่ละหัวซึ่งบรรจุจุดกำเนิดดอกเห็ดเหล่านั้นยืดตัวในเวลาต่อมาและในขณะเดียวกันจุดกำเนิดดอกเห็ดก็ยืดตัวด้วย การยืดตัวของจุดกำเนิดดอกเห็ดนั้นระยะเริ่มแรกจะมีลักษณะยืดยาวเป็นแท่ง เรียวที่ปลายและหนาที่โคน เมื่อยืดตัวโผล่ออกมาและมีความยาวมากแล้วส่วนปลายของแท่งนี้จะเกิดเป็นตุ่มหมวกดอก จากนั้นหมวกดอกมีการขยายขนาดออก เมื่อดอกเห็ดบานเต็มที่ขอบของหมวกดอกจะม้วนเข้า ก้านดอกเป็นขุยสีน้ำตาล หมวกดอกมีขนาดค่อนข้างใหญ่จนถึงใหญ่มาก คือกว้างได้ถึง 25 เซนติเมตร เห็ดนางรมชนิดนี้เป็นเห็ดพื้นเมืองของทวีปอัฟริกาในแถบกึ่งทะเลทรายของซาฮาราไปถึงไนจีเรีย นอกจากนี้ยังพบว่ามีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบเอเชียอีกหลายประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย ปาปัวนิวกินี อินโดเนเซีย พม่า จีน (ยูนาน) นิวคาเลโดเนีย และ ออสเตรเลีย นอกจากนี้ยังพบว่ามีอยู่ในส่วนอื่น ๆ ในแถบเขตร้อนของโลกอีกด้วย

ภาพที่ 2 ลักษณะของเห็ดนางรมชนิดต่างๆ
การเพาะเลี้ยงเห็ดนางรมหัวทำได้โดยการใช้วัสดุเพาะเลี้ยงแบบเดียวกับเห็ดหอมซึ่งมีส่วนผสมโดยน้ำหนักคือ ขี้เลื่อย 39 เปอร์เซ็นต์ กากเมล็ดฝ้าย 39 เปอร์เซ็นต์ รำข้าว 20 เปอร์เซ็นต์ แคลเซียมคาร์บอเนต 1 เปอร์เซ็นต์ น้ำตาลซูโครส 1 เปอร์เซ็นต์ และ ปรับ pH ให้เป็น 6-7 อาหารสูตรนี้จะช่วยสร้าง sclerotia ขึ้นมาก่อน ต่อจากนั้นดอกเห็ดจึงจะผุดขึ้นมาจาก sclerotia เหล่านั้นอีกทีหนึ่ง ด้วยเหตุที่ sclerotia มีขนาดค่อนข้างใหญ่และมีลักษณะทรงกลมเห็ดนางรมหัวจึงได้ชื่อมาจากลักษณะของ sclerotia การจำหน่ายเห็ดนางรมหัวแตกต่างจากเห็ดนางรมอื่น ๆ เนื่องจาก sclerotia หรือหัวของเห็ดชนิดนี้มีคุณค่าทางยา จึงสามารถนำหัวไปจำหน่ายได้ ซึ่งใช้สามารถประโยชน์ได้หลังจากทำให้หัวแห้งแล้ว เพราะหัวสดมีรสขมแต่เมื่อหัวแห้งแล้วรสขมจะหายไป
วงจรชีวิตของเห็ดนางรม
เห็ดนางรมมีวงจรชีวิตแบบ heterothallic คือ การเกิดดอกเห็ดจะต้องผ่านการรวมตัวกันของเส้นใยที่เจริญมาจากสปอร์ที่มีพันธุกรรมแตกต่างกันจึงจะมีการพัฒนาเป็นเส้นใยขั้นที่สองซึ่งต่อมาจะมารวมตัวกันเกิดเป็นดอกเห็ด วงจรชีวิตของเห็ดนางรมเริ่มจากการที่ดอกเห็ดที่เจริญเต็มที่มีการสร้างสปอร์แบบเบสิดิโอสปอร์ (basidiopore) เมื่อสปอร์พวกนี้ปลิวไปตกในบริเวณที่เหมาะสมจะงอกเส้นใยขั้นที่หนึ่ง (primary mycelium) ออกมา เส้นใยนี้มีนิวเคลียสเพียงหนึ่งอัน (haploid) จากนั้นเส้นใยขั้นที่หนึ่งที่เจริญมาจากสปอร์ที่มีพันธุกรรมต่างกันจะรวมตัวกันพัฒนาไปเป็นเส้นใยขั้นที่สอง (secondary mycelium) ซึ่งมีนิวเคลียสสองอัน (diploid) แล้วเส้นใยนี้จะเติบโตอย่างรวดเร็ว ในแต่ละเซลล์มีข้อยึดระหว่างเซลล์ ต่อมาเส้นใยขั้นที่สองจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนกลายเป็นเส้นใยขั้นที่สาม (tertiary mycelium) ซึ่งพร้อมที่จะพัฒนาต่อไปเป็นดอกเห็ด โดยเจริญเป็นจุดกำเนิดดอกเห็ด (primordia) แล้วเจริญต่อเป็นดอกเห็ดขนาดเล็กหรือฟรุตติ้งบอดี้ (fruiting body) จากนั้นจึงเติบโตเป็นดอกเห็ดที่สมบูรณ์ในเวลาต่อมา ดังเห็นได้จากไดอะแกรมที่แสดงไว้ในภาพที่ 3
คุณค่าทางโภชนาการของเห็ดนางรม
งานศึกษาวิจัยด้านการวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการของเห็ดนางรมแสดงรายงานของคุณค่าทางโภชนาการของเห็ดนางรมชนิดต่าง ๆ ไว้ดังนี้
1. เห็ดนางนวล มีโปรตีน 30-36 เปอร์เซ็นต์ ไวตามิน B และ C 30-144 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักแห้ง 100 กรัม และ niacin 80-100 กรัมต่อน้ำหนักแห้ง 100 กรัม
2. เห็ดนางรมฮังการี รวมทั้งเห็ดนางรมสีขาว เห็ดนางรมสีเทา เห็ดนางรมหลวง และ เห็ดนางรมดอย มีโปรตีน 10-30 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักแห้ง ไวตามิน C 30-144 มิลลิกรัมต่อน้ำหนัก
แห้ง 100 กรัม niacin 109 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักแห้ง 100 กรัม กรดโฟลิก 65 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักแห้ง 100 กรัม และ โปแตสเซียม 306 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักแห้ง 100 กรัม

1. ดอกเห็ดนางรมในระยะที่เจริญเติบโตเต็มที่
2. เบสิดิโอสปอร์อยู่ที่ครีบดอกและอยู่ในระยะการปลดปล่อยสปอร์
3. สปอร์งอกเส้นใยในสภาพที่เหมาะสม
4. เส้นใยขั้นที่หนึ่งรวมตัวกันเจริญเป็นเส้นใยขั้นที่สอง
5. ระยะที่เส้นใยรวมตัวกันเพื่อสร้างดอกเห็ด
6. ดอกเห็ดขนาดเล็กที่เจริญและพัฒนามาจากเส้นใยขั้นที่สาม
ภาพที่ 3 ไดอะแกรมแสดงวงจรชีวิตของเห็ดนางรม
3. เห็ดนางฟ้า เห็ดนางรมอินเดีย และ เห็ดนางรมหัว มีโปรตีน 14-27 เปอร์เซ็นต์ คาร์โบไฮเดรท 51 เปอร์เซ็นต์ และ ไขมัน 2 เปอร์เซ็นต์ เมื่อวัดจากน้ำหนักแห้ง
คุณค่าทางเภสัชกรรมของเห็ดนางรม
คุณค่าทางเภสัชกรรมของเห็ดนางรมชนิดต่าง ๆ ได้มีนักวิจัยศึกษาและรายงานไว้พอสมควร คุณค่าดังกล่าวของเห็ดนางรมต่างชนิดกันมีดังนี้
1. เห็ดนางรมสีทอง มีศักยภาพในการรักษาโรคเกี่ยวกับปอดและทางเดินหายใจ ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในเส้นเลือด
2. เห็ดนางรมฮังการี รวมทั้งเห็ดนางรมสีขาว เห็ดนางรมสีเทา และ เห็ดนางรมดอย
มีสาร lovastatin (3-hydroxy-3-methylglutaryl-coenzyme A reductase) ซึ่งสามารถใช้ผลิตยาที่ช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลได้ นอกจากนี้ยังมีรายงานการวิจัยที่ศึกษาทดลองสารสกัดจากเห็ดนางรมในการยับยั้งเนื้องอกในหนูว่าเมื่อใส่สารดังกล่าวในปริมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ ลงไปในอาหารหนูพบว่าสามารถยับยั้งเซลล์เนื้องอกของหนูได้ถึง 60 เปอร์เซ็นต์ และเมื่อใช้อาหารเลี้ยงเส้นใยจากก้อนเชื้อที่ใช้ซังข้าวโพดเป็นส่วนผสมพบว่ากลุ่มเส้นใยในอาหารเลี้ยงนั้นสามารถยับยั้งเซลล์เนื้องอกได้เช่นกัน
3. เห็ดนางรมหัว sclerotia ของเห็ดชนิดนี้เมื่อทำให้แห้งใช้รักษาโรคผิวหนังได้ และเมื่อนำหัวแห้งไปชงเป็นชาหรือทำเป็นซุปดื่มจะช่วยรักษาอาการหืดหอบและอาการไอ ผลงานวิจัยบางงานเสนอว่าหัวของเห็ดนางรมหัวสามารถรักษาอาการภายในได้ด้วย เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิต เบาหวาน และ ความผิดปกติในกระเพาะอาหาร
ประโยชน์ด้านอื่นของเห็ดนางรม
นอกจากผลิตเห็ดนางรมเพื่อจำหน่ายเป็นอาหารแล้วเกษตรกรยังสามารถทำประโยชน์จากก้อนเชื้อเห็ดนางรมที่เก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จแล้วได้อีก โดยการนำไปเป็นอาหารสัตว์ เช่น วัว ไก่ และ สุกร หรือใช้ทำปุ๋ยหมัก ส่วนประโยชน์ที่ค่อนข้างพิเศษ คือ ก้อนเชื้อที่ใช้แล้วนี้สามารถนำไปใส่ลงในดินที่มีการรบกวนจากไส้เดือนฝอยเพื่อควบคุมการเจริญเติบโตและการเพิ่มปริมาณของไส้เดือนฝอยในดินนั้นได้ เพราะเส้นใยของเห็ดนางรมในขณะที่มีขบวนการเมตาโบลิสซึ่มจะปลดปล่อยสารออกมาภายในก้อนเชื้อ และสารดังกล่าวนี้เป็นพิษต่อไส้เดือนฝอย จึงทำให้เกษตรกรสามารถนำก้อนเชื้อเก่าของเห็ดนางรมไปใช้ในการควบคุมปริมาณและการเจริญเติบโตของไส้เดือนฝอยในสวนของเกษตรกรได้
ธรรมชาติของเห็ดนางรม
เห็ดที่อยู่ในสกุล Pleurotus มีความต้องการปัจจัยสำหรับการเจริญเติบโตที่ไม่จำเพาะเจาะจงเท่าไหร่นัก ไม่เหมือนกับเห็ดอีกหลายชนิด วิเคราะห์ได้จากการที่เห็ดสกุลนี้มีชีวิตอยู่จากการย่อยสลายเนื้อไม้เพื่อการเจริญเติบโต โดยมีความสามารถในการย่อยสารประกอบที่มีโมเลกุลซับซ้อนได้ดีกว่าเห็ดสกุลอื่น ๆ โดยเฉพาะการย่อยสารประกอบเซลลูโลสและลิกนิน จึงอยู่ได้ทั้งบนท่อนไม้ที่มีชีวิตและบนท่อนไม้ที่กำลังผุพัง นอกจากนี้แล้วเมื่อเห็ดนางรมอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตดอกเห็ดจะสามารถสร้างคลามัยโดสปอร์ (chlomydospore) ขึ้นมาเพื่อให้รอดพ้นจากสภาวะที่ไม่เหมาะสมแล้วสปอร์เหล่านี้จะแฝงอยู่ตามตอไม้ ต่อเมื่อสภาพแวดล้อมดีขึ้น คือมีความชุ่มชื้นและอุณหภูมิเหมาะสม คลามัยโดสปอร์จะงอกเส้นใยออกมาแล้วพัฒนาเป็นดอกเห็ดที่สมบูรณ์และแพร่สปอร์ต่อไปได้ ทำให้เห็ดนางรมสามารถอยู่รอดได้ในสภาพที่ไม่เอื้ออำนวย ส่วนปัจจัยเกี่ยวกับสภาพความเป็นกรดเป็นด่างนั้นพบว่าเห็ดนางรมเติบโตได้ในสภาพที่เป็นกรดเล็กน้อย คือ pH อยู่ระหว่าง 5.0-5.2 ในขณะที่อุณหภูมิที่สามารถกระตุ้นให้เกิดการสร้างดอกเห็ดอยู่ที่ระดับ 30-32 องศาเซลเซียส และ 25 องศาเซลเซียสสำหรับการเจริญเติบโตของดอกเห็ด นอกจากนี้เส้นใยของเห็ดนางรมยังมีประสิทธิภาพค่อนข้างสูงในการเปลี่ยนคาร์โบโฮเดรตให้เป็นน้ำตาล จึงสามารถขยายปริมาณและต่อเชื่อมกันได้เร็วกว่าเห็ดชนิดอื่น ๆ และสร้างดอกเห็ดได้เร็วกว่า
จากข้อมูลที่กล่าวไว้ข้างบนนี้ทำให้เห็นได้ว่าเห็ดนางรมเป็นเห็ดที่เพาะเลี้ยงง่ายเนื่องจากมีความสามารถในการย่อยสลายเนื้อไม้โดยไม่ต้องรอให้ไม้ผุพังก่อน ทำให้ลดความยุ่งยากในการที่จะต้องนำขี้เลื่อยไปหมักเสียก่อนก่อนที่จะนำไปประกอบเป็นก้อนเชื้อ นอกจากนี้การมีประสิทธิภาพสูงในการเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตเป็นน้ำตาลเพื่อเป็นพลังงานในการเจริญเติบโตทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้วัสดุมากชนิดในการผลิตก้อนเชื้อ และการที่เส้นใยสามารถอยู่ได้ในสภาพที่เป็นกรดเล็กน้อยจะช่วยลดส่วนผสมของอาหารในก้อนเชื้อลงได้อีกคือไม่ต้องใส่ปูนขาว นอกจากนี้การที่เส้นใยเติบโตเร็วจะมีส่วนทำให้เส้นใยเดินเต็มก้อนเชื้อได้เร็ว จึงพร้อมที่จะเปิดดอกเห็ดได้เร็วขึ้น
ปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของเห็ดนางรมในสภาพเพาะเลี้ยง
การเพาะเลี้ยงเห็ดนางรมชนิดต่าง ๆ ให้ได้ผลต้องคำนึงถึงปัจจัยที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเห็ดเหล่านั้นในแต่ละขั้นตอนของการเจริญและพัฒนาเพื่อที่จะได้จัดให้สภาพที่เพาะเลี้ยงเหมาะสมกับความต้องการ การเพาะเลี้ยงเห็ดนางรมนั้นขั้นตอนของการเพาะเลี้ยงเหมือนกับเห็ดโดยทั่วไป คือ ประกอบไปด้วย 1) การเลี้ยงเชื้อบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นการสกัดสปอร์และเส้นใยจากเนื้อเยื่อของดอกเห็ดในระยะที่มีการเจริญเติบโตเต็มที่แล้วนำไปเลี้ยงในอาหารวุ้น 2) การขยายเชื้อ ซึ่งเป็นการเพิ่มปริมาณของเส้นใยโดยนำเชื้อบริสุทธิ์มาเลี้ยงในอาหารที่ประกอบด้วยเมล็ดธัญพืช 3) การเลี้ยงเส้นใยและบ่มให้เกิดจุดกำเนิดดอกเห็ด โดยการนำเส้นใยไปเลี้ยงในก้อนเชื้อเพื่อให้เส้นใยเพิ่มปริมาณมากขึ้นและบ่มให้เส้นใยพัฒนาไปเป็นจุดกำเนิดดอกเห็ดและฟรุตติ้งบอดี้ และ 4) การเปิดดอกเห็ด โดยการนำก้อนเชื้อที่บ่มได้ที่แล้วไปไว้ในโรงเปิดดอกเห็ดเพื่อให้ดอกเห็ดมีการเจริญเติบโตจนถึงระยะเก็บเกี่ยว
ในแต่ละขั้นตอนของการเพาะเลี้ยงนั้น บางขั้นตอนมีความต้องการสภาพพิเศษในการช่วยให้การเจริญและพัฒนาเป็นไปอย่างสมบูรณ์ สภาพดังกล่าวนั้นแตกต่างกันไปตามชนิดของเห็ดนางรม
1. ขั้นตอนของการเลี้ยงเชื้อบริสุทธิ์ สภาพที่เหมาะสมในการเลี้ยงเชื้อบริสุทธิ์เพื่อให้เกิดเส้นใยบนอาหารวุ้นมีดังนี้
1.1 อาหารเลี้ยงเชื้อ (nutrient media) เส้นใยของเห็ดนางรมเจริญเติบโตได้ดีในอาหารเลี้ยงเชื้อหลายชนิด เช่น อาหาร PDA (potato dextrose agar) ซึ่งเป็นสูตรที่ไม่ซับซ้อน เตรียมง่าย และ ต้นทุนต่ำ เป็นสูตรที่ใช้ได้กับการเลี้ยงเชื้อของเห็ดเกือบทุกชนิด สูตรนี้มีส่วนผสมดังนี้
มันฝรั่ง 200 กรัม
กลูโคส 20 กรัม
ผงวุ้น 20 กรัม
น้ำสะอาด 1 ลิตร
ส่วนสูตรอาหารที่มีรายงานว่าเหมาะสมต่อการเพาะเลี้ยงเชื้อและเลี้ยงเชื้อเห็ดนางรมได้ดีมีดังนี้

1.2 อุณหภูมิ อัตราการเจริญเติบโตของเส้นใยของเห็ดนางรมมีความสัมพันธ์กับอุณหภูมิ โดยที่เส้นใยจะเจริญเติบโตช้ามากที่อุณหภูมิระดับต่ำมาก ๆ และอัตราการเจริญเติบโตจะสูงขึ้นตามอุณหภูมิที่สูงขึ้น อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเส้นใย คือ 30 องศาเซลเซียสโดยประมาณ
1.3 กาซคาร์บอนไดออกไซด์ ปริมาณของกาซคาร์บอนไดออกไซด์มีผลอย่างมากต่อการเจริญเติบโตของเส้นใยเห็ดนางรม โดยเฉพาะเห็ดนางรมฮังการี เห็ดนางรมสีขาว เห็ดนางรมสีเทา และ เห็ดนางรมหลวง โดยทั่วไปแล้วปริมาณของกาซนี้ภายในห้องบ่มเชื้อและภายในโรงเรือนเปิดดอกเห็ดไม่ควรจะเกิน 28 เปอร์เซ็นต์
2. ขั้นตอนของการเจริญและพัฒนาของดอกเห็ด สภาพที่เกี่ยวข้องคือสภาพภายในโรงเรือนเปิดดอกเห็ดและปัจจัยที่เกี่ยวข้องก็เป็นปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืชโดยทั่วไป ดังนี้
2.1 แสง ถึงแม้ว่าเห็ดจะเป็นพืชชั้นต่ำซึ่งไม่มีคลอโรฟิลล์จึงทำให้เห็ดสังเคราะห์แสงไม่ได้และการเจริญเติบโตของเห็ดจำต้องอาศัยอาหารจากอินทรียวัตถุก็ตาม แต่แสงก็มีผลต่อการเจริญและพัฒนาของดอกเห็ดอยู่ค่อนข้างมาก เนื่องจากแสงช่วยกระตุ้นการรวมตัวของเส้นใยและการพัฒนาของเส้นใยซึ่งมีผลในการเกิดเป็นดอกเห็ดที่สมบูรณ์ ถ้าได้รับแสงน้อยจะทำให้หมวกดอกมีขนาดเล็กกว่าที่ควรและก้านดอกยาว เห็ดนางรมควรจะต้องได้รับแสงอย่างน้อย 15 นาทีต่อวันจึงจะช่วยให้ดอกเห็ดพัฒนาได้ดี
2.2 กาซคาร์บอนไดออกไซด์ ในระยะที่มีการพัฒนาของดอกเห็ด กาซคาร์บอนไดออกไซด์
ในโรงเปิดดอกไม่ควรจะสูง การระบายอากาศในโรงเปิดดอกเพื่อลดปริมาณของกาซนี้จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องปฏิบัติ
2.3 ความชื้นสัมพัทธ์ ช่วงที่มีการเปิดดอกเห็ดควรให้มีความชื้นสัมพัทธ์ภายในโรงเปิดดอกค่อนข้างสูง เพื่อช่วยเพิ่มอัตราการเจริญเติบโตของดอกเห็ด ความชื้นสัมพัทธ์ระดับที่เหมาะสม คือ 70-80 เปอร์เซ็นต์
2.4 อุณหภูมิ การเจริญและการขยายขนาดของดอกเห็ดต้องการอุณหภูมิสูงกว่าในระยะ
ที่มีการขยายเส้นใย อุณหภูมิในระดับที่ช่วยให้ดอกเห็ดมีการขยายขนาดและเจริญเติบโตดีคืออุณหภูมิในช่วง 24-33 องศาเซลเซียส ช่วยให้ได้ผลผลิตของเห็ดนางรมสูง ส่วนอุณหภูมิต่ำมีผลในการชะงักการเจริญเติบโตของดอกเห็ด
การเพาะเลี้ยงเห็ดนางรม
การเพาะเลี้ยงเห็ดนางรมของเกษตรกรไทยเป็นการเพาะจากเส้นใยที่ได้จากการเลี้ยงเชื้อบริสุทธิ์และขยายเชื้อแล้ว สามารถทำได้โดยการเพาะเชื้อลงในก้อนเชื้อที่มีปุ๋ยหมักหรือขี้เลื่อยหรือเศษวัสดุอินทรีย์ชนิดอื่น ๆ เป็นวัสดุหลักของส่วนผสม หรืออาจจะเพาะลงในท่อนไม้ก็ได้ สำหรับวัสดุอินทรีย์ที่สามารถนำมาใช้เป็นส่วนผสมของอาหารสำหรับผลิตก้อนเชื้อนั้นใช้วัสดุที่หาได้ในพื้นที่ เช่น ฟางข้าวและซังข้าวโพด เป็นต้น มีสูตรของส่วนผสมหลายสูตรให้เกษตรกรเลือกใช้ ดังนี้


ข้อควรระวังในการเพาะเลี้ยงเห็ดนางรม
ปัญหาที่มักเกิดขึ้นในการเพาะเลี้ยงเห็ดนางรมเกิดจากการไม่ระมัดระวังในขั้นตอนของการปฏิบัติ เช่น ในขั้นตอนที่มีการเลี้ยงเชื้อบริสุทธิ์ ถ้าหากการปฏิบัติไม่ปลอดเชื้อ 100 เปอร์เซ็นต์ จะทำให้มีปัญหาในการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ชนิดอื่นในอาหารวุ้นแล้วแต่ไม่แสดงออกในระยะขยายเชื้อจะก่อปัญหาก็ต่อเมื่อถึงระยะที่เขี่ยเส้นใยลงก้อนเชื้อแล้ว เชื้อที่ปลอมปนจะเจริญเติบโตแข่งกับเส้นใยของเห็ดนางรมทำให้เส้นใยเดินไม่สม่ำเสมอและไม่ทั่วก้อนเชื้อ ปริมาณของเส้นใยในก้อนเชื้อจึงมีน้อยและสร้างดอกเห็ดได้น้อย ส่วนการใช้เชื้อที่ได้จากการต่อเชื้อหลาย ๆ ครั้งแล้วนำไปเลี้ยงในก้อนเชื้อจะพบว่าเส้นใยไม่เดินลงไปทางด้านล่างของก้อนเชื้อจะขยายปริมาณแต่ก็เฉพาะบริเวณส่วนบนของก้อนเชื้อเท่านั้น เนื่องจากเส้นใยที่ได้จากการต่อเชื้อหลายครั้งเป็นเส้นใยที่อ่อนแอ
การใช้วัสดุในการผลิตก้อนเชื้อที่ไม่สะอาด เช่น มีสารเคมีปลอมปนโดยเฉพาะยาฆ่าเชื้อรา
ที่ติดมากับวัสดุเศษพืชหรือขี้เลื่อยจะมีส่วนทำให้เส้นใยในก้อนเชื้อชะงักการขยายปริมาณ นอกจากนี้การใช้ก้อนเชื้อที่ใส่อาหารเสริมลงไปน้อยเกินไปจะมีส่วนทำให้เส้นใยบาง ยากต่อการพัฒนาเป็นดอกเห็ด ทำให้ผลผลิตต่ำ นอกจากนี้สภาพทางกายภาพของก้อนเชื้อ เช่น ความชื้นในก้อนเชื้อถ้ามีมากเกินไปจะทำให้เหมาะต่อการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราบางชนิด เบียดเบียนการขยายและพัฒนาของเส้นใยเห็ดนางรม ทำให้เส้นใยชะงักการเจริญเติบโตและได้ผลผลิตต่ำเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเกิดกับก้อนเชื้อที่นึ่งฆ่าเชื้อไม่นานพอ ทำให้จุลินทรีย์และแบคทีเรียที่ปลอมปนมายังคงมีชีวิตอยู่และเบียดเบียนเส้นใยของเห็ดนางรมได้ในภายหลัง
การเพิ่มผลผลิตของเห็ดนางรม
การเพิ่มผลผลิตของเห็ดนางรมนอกจากจะเกิดได้ด้วยการเพิ่มอาหารเสริมในอัตราที่พอเหมาะลงในก้อนเชื้อที่ใช้เพาะเห็ด การดูแลโรงเรือนให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะสมจะช่วยเพิ่มผลผลิตของเห็ดได้เช่นกัน เป็นต้นว่า การควบคุมสภาพ แสง อุณหภูมิ ความชื้น และ กาซคาร์บอนไดออกไซด์ ภายในโรงเรือนเปิดดอกเห็ด การปฏิบัติปลีกย่อยอื่น ๆ สามารถช่วยเพิ่มผลผลิตเห็ดได้ เช่น การให้ปุ๋ยกับก้อนเชื้อที่เปิดถุงแล้วโดยใช้ยูเรีย 100 กรัม ผสมกับปุ๋ยดับเบิ้ลซุปเปอร์ฟอสเฟต 50-100 กรัม ละลายในน้ำสะอาด 20 ลิตร ฉีดพ่นให้กับก้อนเชื้อที่เปิดถุงแล้วได้ 2 วัน จากนั้นฉีดพ่นทุกวัน จนกระทั่งดอกเห็ดมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้วแล้วจึงหยุดฉีด นอกจากนี้ในระหว่างที่มีการกระตุ้นให้ก้อนเชื้อออกดอกเห็ดชุดที่ 2 หลังจากที่ชุดแรกได้เก็บเกี่ยวไปหมดแล้วนั้น ควรจะปล่อยให้ก้อนเชื้อพักตัวสักระยะหนึ่งก่อนโดยงดการฉีดพ่นน้ำในโรงเห็ดเพื่อกันไม่ให้เส้นใย
ที่ยังไม่ได้ออกดอกเห็ดเน่าเสียไป หลังจากหยุดพ่นน้ำได้ 5-6 วันแล้วจึงค่อยเริ่มใหม่ วิธีการนี้จะช่วยเพิ่มผลผลิตของดอกเห็ดรุ่นที่ 2 ได้ดี
แนวคิดในการศึกษาวิจัย
การเพาะเลี้ยงเห็ดเศรษฐกิจในปัจจุบันมีชนิดของเห็ดให้เลือกผลิตหลายชนิดโดยที่เห็ดเหล่านั้นมีความแตกต่างในเรื่องของราคาที่เกษตรกรสามารถจำหน่ายได้ในแต่ละฤดูกาล ต้นทุนในการผลิต ความสามารถในการให้ผลผลิต ความยาก/ง่ายในการผลิต คุณภาพหลังการเก็บเกี่ยวและการเก็บรักษา ความสามารถในการแปรรูปผลผลิต ตลอดจนปัจจัยอื่น ๆ ที่เป็นข้อจำกัดในการผลิตนั้นจากรายงานต่าง ๆ
ที่ปรากฏพบว่าเห็ดนางรมเป็นเห็ดที่เพาะเลี้ยงง่ายกว่าเห็ดชนิดอื่น ๆ และมีการเพาะเลี้ยงเห็ดชนิดนี้อย่างกว้างขวง รวมทั้งมีรายงานด้วยว่าการเพาะเลี้ยงเห็ดชนิดนี้สามารถใช้วัสดุเพาะเลี้ยงที่หลากหลาย โดยดัดแปลงส่วนผสมให้เกิดเป็นสูตรส่วนผสมได้หลายสูตร มีการใช้วัสดุที่หาได้ง่ายและบางสูตรใช้ส่วนผสมที่เป็นเศษวัสดุจากพืชเศรษฐกิจในสวนในไร่ของเกษตรกร ดังนั้นฝ่ายศึกษาและทดสอบการปลูกพืชของศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จึงทดสอบการใช้เปลือกถั่วเหลืองในการเป็นวัสดุหลักที่ใช้ในการผลิตก้อนเชื้อเพื่อเพาะเลี้ยงเห็ดนางรม โดยใช้ร่วมกับขี้เลื่อยไม้ยางพารา พร้อมกับลดส่วนผสมอื่น ๆ ลงให้เหลือแต่เพียงยิปซั่มและปูนขาว แล้วทดสอบกับเห็ดนางรมฮังการี ทั้งนี้เพื่อที่จะศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้เปลือกถั่วเหลืองในการแทนที่ขี้เลื่อยไม้ยางพารา ซึ่งถ้าใช้ได้ผลก็จะเป็นประโยชน์สำหรับเกษตรกรผู้ปลูกถั่วเหลืองที่สามารถใช้วัตถุดิบซึ่งเป็นผลพลอยได้ในการปลูกถั่วเหลืองมาใช้ในการเพาะเลี้ยงเห็ดนางรมฮังการี ซึ่งนอกจากจะเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายในการซื้อขี้เลื่อยไม้ยางพาราแล้วยังเป็นประโยชน์กับเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงเห็ดนางรมฮังการีในบริเวณที่มีการปลูกถั่วเหลืองด้วยการลดภาระในการหาซื้อขี้เลื่อยไม้ยางพาราและใช้เปลือกถั่วเหลืองแทน
วัตถุประสงค์ของโครงการ
-
วิธีดำเนินการ
การศึกษาการเพาะเลี้ยงเห็ดนางรมฮังการีครั้งนี้เป็นการศึกษาความเป็นไปได้และการทดสอบประสิทธิภาพของเปลือกถั่วเหลืองในการแทนที่ขี้เลื่อยไม้ยางพาราที่ใช้เป็นส่วนผสมหลักในก้อนเชื้อที่ใช้เพาะเลี้ยงเส้นใยเห็ด โดยการผันแปรสัดส่วนของเปลือกถั่วเหลืองและขี้เลื่อยไม้ยางพาราที่ใช้ในสูตรของส่วนผสมออกเป็น 5 กรรมวิธีด้วยกัน ทำให้มีสูตรของส่วนผสมของก้อนเชื้อ 5 สูตรด้วยกัน ดังแสดงในตารางที่ 1 โดยที่ในแต่ละสูตรมียิปซั่มและปูนขาวอย่างละ 1 เปอร์เซ็นต์อยู่ด้วย

วิธีการดำเนินงานวิจัยเป็นไปตามขั้นตอนมาตรฐานของการเพาะเลี้ยงเห็ดทั่วไปคือ
1. การเลี้ยงเชื้อบริสุทธิ์ ผลิตเชื้อเห็ดนางรมฮังการีบริสุทธิ์โดยเลี้ยงในอาหาร PDA ซึ่งมีส่วนผสมของ มันฝรั่ง 200 กรัม น้ำตาลกลูโคส 20 กรัม ผงวุ้น 20 กรัม และ น้ำสะอาด 1 ลิตร เตรียมโดยการต้มมันฝรั่งในน้ำให้สุกพอนิ่มแล้วกรองเอาแต่น้ำ ใส่ผงวุ้นลงไปแล้วนำไปต้มเพื่อให้ส่วนผสมละลายจนเข้ากัน จากนั้นกรอกใส่ขวดแบน ใส่จุกสำลี แล้วนำไปนึ่งฆ่าเชื้อในหม้อนึ่งความดันที่มีความดัน 15 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว นาน 30 นาที เมื่อขวดเย็นนำไปวางเอียงเพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวของอาหารวุ้น เมื่ออาหารเย็นนำดอกเห็ดนางรมฮังการีที่สมบูรณ์มาสกัดเชื้อลงเลี้ยงในขวดอาหารโดยปฏิบัติในตู้ปลอดเชื้อ เมื่อสกัดเนื้อเยื่อที่อยู่บริเวณกลางของก้านดอกเห็ดลงไปเลี้ยงในขวดอาหารวุ้นแล้ว นำขวดไปบ่มไว้ในห้องสะอาดจนเชื้อเดินเต็มขวด
2. การขยายเชื้อ เตรียมอาหารธัญพืชเพื่อใช้ขยายเชื้อโดยใช้เมล็ดข้าวฟ่างแช่น้ำทิ้งไว้หนึ่งคืนแล้วเอาไปต้มให้เมล็ดสุกจนปริ นำไปผึ่งให้เย็นลงและให้เมล็ดหมาด จากนั้นบรรจุลงขวด ปิดจุกขวดแล้วนำไปนึ่งฆ่าเชื้อด้วยวิธีเดียวกับการนึ่งขวดอาหารวุ้น นำออกจากหม้อนึ่งทิ้งไว้ให้ขวดเย็นแล้วเขย่าให้เมล็ดข้าวฟ่างกระจาย จากนั้นเขี่ยเส้นใยจากขวดเชื้อบริสุทธิ์ลงไปเลี้ยงในอาหารข้าวฟ่าง โดยเขี่ยในตู้ปลอดเชื้อ นำขวดไปบ่มจนเส้นใยเดินเต็มขวด
3. การเพาะเชื้อลงบนก้อนเชื้อ เตรียมก้อนเชื้อโดยการนำเปลือกถั่วเหลืองและต้นถั่วเหลืองใส่ลงไปในเครื่องหั่นฝอยแล้วผสมลงในขี้เลื้อยไม้ยางพารา ยิปซั่ม และ ปูนขาว ตามสูตรที่ระบุกรรมวิธีการทดลองไว้ข้างต้น และใช้น้ำสะอาด 50-60 เปอร์เซ็นต์ปรับความชื้นของส่วนผสมให้พอเหมาะ จากนั้นหมักไว้นาน 10 วัน นำส่วนผสมลงบรรจุในถุงพลาสติกให้มีน้ำหนักของอาหารผสมถุงละ 800 กรัม ใส่คอขวด อุดด้วยสำลี ปิดทับด้วยกระดาษ แล้วนำไปนึ่งฆ่าเชื้อในหม้อนึ่งความดันที่ใช้ความดัน 15 ปอนด์ ต่อตารางนิ้ว นาน 1-2 ชั่วโมง จากนั้นเขี่ยเมล็ดข้าวฟ่างจากขวดขยายเชื้อลงไปในก้อนเชื้อ นำก้อนเชื้อไปบ่มไว้ในห้องที่มีอุณหภูมิ 25-30 องศาเซลเซียส จนเชื้อเดินเต็มถุง
4. การเปิดดอกเห็ด นำถุงก้อนเชื้อไปเปิดดอกในโรงเปิดดอกเห็ดที่ปรับความชื้นให้เหมาะ โดยเรียงก้อนเชื้อซ้อนกันไว้บนชั้นรูปตัว A (ภาพที่ 4) รดน้ำภายในโรงเรือนให้สม่ำเสมอเพื่อปรับให้มีความชื้นสัมพัทธ์ 70-90 เปอร์เซ็นต์ เปิดถุงเพื่อให้ดอกเห็ดเจริญออกมา (ภาพที่ 5-8) ในระยะที่เก็บผลผลิต (ภาพที่ 9-11) บันทึกผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ทุกครั้ง (ภาพที่ 12) จนกระทั่งก้อนเชื้อหมดอายุ แล้วเปรียบเทียบผลผลิตรวมของดอกเห็ดที่เก็บเกี่ยวได้จากแต่ละกรรมวิธี

ภาพที่ 4 ก้อนเชื้อเห็ดนางรมฮังการีบนชั้นรูปตัวA

ภาพที่ 5 ก้อนเชื้อในระยะเปิดดอกเห็ด

ภาพที่ 6 ดอกเห็ดฮังการีทยอยกันเจริญออกมาจากก้อนเชื้อ

ภาพที่ 7 ดอกเห็ดในระยะการเจริญเติบโตที่แตกต่างกัน

ภาพที่ 8 ก้อนเชื้อเห็ดนางรมฮังการีหลังจากเปิดถุงในโรงเรือนเปิดดอกเห็ด

ภาพที่ 9 เห็ดนางรมฮังการีในระยะเก็บเกี่ยวดอกเห็ด

ภาพที่ 10 ดอกเห็ดที่ออกมาในการเก็บเกี่ยวรุ่นที่สอง

ภาพที่ 11 การเก็บเกี่ยวผลผลิตดอกเห็ด

ภาพที่ 12 บันทึกน้ำหนักของดอกเห็ดในการเก็บเกี่ยวแต่ละครั้ง
ผลการศึกษาทดลองวิจัย
การทดสอบประสิทธิภาพของเปลือกถั่วเหลืองในการเป็นวัสดุในส่วนผสมของก้อนเชื้อเพื่อเพาะเลี้ยงเห็ดนางรมฮังการีโดยมีจุดมุ่งหมายในการใช้เปลือกถั่วเหลืองเป็นแหล่งอาหารแทนที่ขี้เลื่อยไม้ยางพารา ผลของการบันทึกปริมาณของผลผลิตดอกเห็ดที่ได้จากสูตรอาหารก้อนเชื้อในกรรมวิธีต่าง ๆ ซึ่งมีส่วนผสมของเปลือกถั่วเหลือง/ขี้เลื่อยไม้ยางพารา เป็นสัดส่วนที่แตกต่างกัน 5 สูตรนั้น ก้อนเชื้อที่มีส่วนผสมของเปลือกถั่วเหลือง/ขี้เลื่อยในสัดส่วน 70 : 25 ให้ผลผลิตของดอกเห็ดสดดีที่สุด คือ 26.4 กิโลกรัมต่อก้อนเชื้อ 100 ก้อน ในขณะที่สูตรที่ได้ผลดีรองลงมาคือส่วนผสมในสัดส่วน 25 : 75 ได้ดอกเห็ดสดหนัก 24.5 กิโลกรัมต่อก้อนเชื้อ 100 ก้อน และรองลงมาคือสัดส่วน 50 : 50 , 0 : 100 และ 100 : 0 ซึ่งให้น้ำหนักสดของดอกเห็ดต่อก้อนเชื้อ 100 ก้อนเป็น 23.6, 17.2 และ 2.7 กิโลกรัม ตามลำดับ ดังแสดงผลไว้ในตารางที่ 2 ทั้งนี้ผลที่ได้แสดงให้เห็นว่าเปลือกถั่วเหลืองสามารถใช้แทนที่ขี้เลื่อยไม้ยางพาราในก้อนเชื้อได้เป็นอย่างดี โดยที่ก้อนเชื้อที่มีส่วนผสมของเปลือกถั่วเหลืองให้ผลผลิตสูงกว่าก้อนเชื้อที่ประกอบด้วยขี้เลื่อยไม้ยางพาราแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งน่าจะเป็นผลของการปลดปล่อยสารอาหารของเศษวัสดุอินทรีย์ที่ผ่านการหมักแล้วเป็นบางส่วนให้กับเส้นใยจึงช่วยเพิ่มผลผลิตโดยส่งเสริมการเจริญเติบโตของดอกเห็ดให้ได้มากขึ้น
ส่วนการที่ผลผลิตซึ่งพบว่าต่ำมากและเป็นผลผลิตของเห็ดสดจากก้อนเชื้อที่มีแต่เปลือกถั่วเหลืองเป็นวัสดุหลักแต่เพียงอย่างเดียวโดยไม่มีขี้เลื่อยไม้ยางพาราปะปนนั้นสามารถวิเคราะห์ได้ว่าผลผลิตที่ต่ำดังกล่าวไม่ได้เกิดจากการที่เปลือกถั่วเหลืองเป็นแหล่งที่ให้อาหารแก่เส้นใยเห็ดได้ในปริมาณที่ไม่เพียงพอ แต่น่าจะเป็นจากสาเหตุอื่น เช่น เกิดการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์อื่น ๆ ในก้อนเชื้อเหล่านั้นซึ่งเห็นได้จากการที่ก้อนเชื้อของกรรมวิธีนี้เสียหายถึง 80 เปอร์เซ็นต์ มีเพียง 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ผลิตดอกเห็ด และช่วงเวลาที่สามารถเก็บเกี่ยวเห็ดนับจากวันเปิดดอกจนถึงวันสุดท้ายของการเก็บเกี่ยวเห็ดก็สั้นกว่ากรรมวิธีอื่น คือ 76 วัน แทนที่จะเป็น 100 วัน เหมือนกับอีก 4 กรรมวิธี ทั้งนี้มีข้อมูลที่สนับสนุนการวิเคราะห์นี้จากรายงานการศึกษาของแหล่งอื่น ๆ ที่กล่าวถึงไว้เช่นกันเกี่ยวกับเรื่องการรบกวนที่เกิดจากการปนเปื้อนของก้อนเห็ดแล้วไปมีผลต่อการเจริญเติบโตของเส้นใยของเห็ด ทำให้เส้นใยชะงักการเจริญเติบโตหรือทำให้เส้นใยบางเกินไป มีผลต่อการเจริญและพัฒนาของดอกเห็ดทั้งสิ้น เกิดการลดลงของผลผลิตได้ ดังนั้นในเมื่อไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับผลของเปลือกถั่วเหลืองที่ใส่ในก้อนเชื้อแต่เพียงอย่างเดียวในส่วนผสมของก้อนเชื้อสูตร 1 ว่าจะให้ผลดีเท่าหรือให้ผลผลิตต่ำกว่าการใช้ขี้เลื่อยไม้ยางพาราแต่เพียงอย่างเดียวในสูตร 5 จึงไม่สามารถสรุปได้แน่นอนว่าเปลือกถั่วเหลืองสามารถแทนที่ขี้เลื่อยไม้ยางพาราได้โดยสิ้นเชิงหรือไม่ แต่ก็กล่าวได้ว่าสามารถใช้เปลือกถั่วเหลืองเป็นวัสดุหลักในส่วนผสมของก้อนเชื้อที่ใช้เพาะเลี้ยงเห็ดนางรมฮังการีได้เป็นอย่างดี และใช้ร่วมกับขี้เลื่อยไม้ยางพาราได้ โดยอาจใช้ในสัดส่วนที่เท่ากับ น้อยกว่า หรือมากกว่าก็ได้ แต่สัดส่วนใดจะให้ผลดีที่สุดนั้นจะสรุปได้ก็ต่อเมื่อมีการทดลองซ้ำเพื่อให้เกิดความมั่นใจและเพิ่มการทดลองเพื่อผันแปรสัดส่วนให้มีกรรมวิธีมากขึ้น จะได้ข้อมูลในเชิงละเอียด นอกจากนี้ควรจะทดสอบการใช้เปลือกถั่วเหลืองเพียงอย่างเดียวต่อไปอีกร่วมกับการควบคุมการนึ่งก้อนเชื้อให้สมบูรณ์ขึ้น
การทดลองครั้งนี้ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ (ภาพที่ 13-15) และเป็นประโยชน์ในแง่ที่เป็นตัวอย่างของการศึกษาการใช้วัสดุอินทรีย์ที่เป็นผลพลอยได้จากการเกษตรชนิดอื่น ๆ มาทดสอบประสิทธิภาพในการใช้เป็นวัสดุในส่วนผสมของก้อนเชื้อเพื่อเพาะเลี้ยงเห็ดนางรมและเห็ดอื่น ๆ เพราะข้อมูลที่ได้จากการศึกษาเป็นประโยชน์กับเกษตรกรมากในการช่วยลดต้นทุนการเพาะเลี้ยงและเป็นการนำเศษวัสดุอินทรีย์มาหมุนเวียนใช้ประโยชน์ในสวนในไร่อีกด้วย


ภาพที่ 13 เห็ดนางรมฮังการีจากการทดลองให้ผลผลิตสูง

ภาพที่ 14 ดอกเห็ดนางรมฮังการีในระยะเก็บเกี่ยว

ภาพที่ 15 ผลผลิตดอกเห็ดฮังการีจากก้อนเชื้อ 1 ก้อนในการเก็บเกี่ยวครั้ง
สรุป อภิปราย และข้อเสนอแนะ
การทดสอบการใช้เปลือกถั่วเหลืองในการแทนที่ขี้เลื่อยไม้ยางพาราเพื่อเป็นวัสดุหลักในการผลิตก้อนเชื้อสำหรับเพาะเลี้ยงเส้นใยของเห็ดนางรมฮังการีโดยใช้เปลือกถั่วเหลืองและขี้เลื่อยไม้ยางพาราในสัดส่วนแตกต่างกัน 5 สูตร (กรรมวิธี) คือ 100 : 0, 75 : 25, 50 : 50, 25 : 75 และ 0 : 100 นั้น ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่าสามารถใช้เปลือกถั่วเหลืองแทนที่ขี้เลื่อยไม้ยางพาราได้ และแสดงประสิทธิภาพที่เหนือกว่าขี้เลื่อยไม้ยางพาราโดยการให้ผลผลิตดอกเห็ดสดที่สูงกว่าการใช้ขี้เลื่อยไม้ยางพาราแต่เพียงอย่างเดียว แต่การใช้เปลือกถั่วเหลืองแต่เพียงอย่างเดียวนั้นต้องระมัดระวังในเรื่องการฆ่าเชื้อของก้อนเชื้อเนื่องจากระยะเวลาที่ใช้ในการนึ่งฆ่าเชื้อในการทดลองนั้นคาดว่าสั้นเกินไปสำหรับก้อนเชื้อเปลือกถั่วเหลืองเนื่องจากมีการเสียหายของก้อนเชื้อจากการเน่าเสียในโรงเปิดดอกเห็ด