ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา
เห็ดในกลุ่มของเห็ดนางรม (oyster mushroom) เป็นเห็ดที่คนไทยคุ้นเคยกันดีเนื่องจากเป็นเห็ดซึ่งอยู่ในกลุ่มแรก ๆ ที่มีการนำมาเพาะเลี้ยงเพื่อการค้าและต่อมาได้รับความนิยมค่อนข้างสูงทั้งจากผู้เพาะเลี้ยงและผู้บริโภค เพราะเป็นเห็ดที่เพาะเลี้ยงง่าย มีรสชาติดีและมีคุณค่าทางอาหารค่อนข้างสูง ในระยะเริ่มแรกผู้คนรู้จักเห็ดนางรมก่อนเห็ดชนิดอื่นที่อยู่ในสกุลเดียวกัน ในเวลาต่อมาได้มีเห็ดชนิดอื่น ๆ ในสกุลเดียวกันนี้ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกันออกมาให้เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมในตลาด เช่น เห็ดนางฟ้า เห็ดนางนวล และ เห็ดเป๋าฮื้อ เป็นต้น เห็ดต่าง ๆ เหล่านี้แท้จริงมีชื่อสามัญประจำสกุลชื่อเดียวกันคือ เห็ดนางรม หรือ oyster mushroom โดยมีชื่อสกุล คือ Pleurotus แต่มีชื่อของชนิดแตกต่างกันไป เห็ดที่เป็นสมาชิกของสกุล Pleurotus นี้บางชนิดสามารถจำแนกได้ด้วยลักษณะภายนอกที่แตกต่างกันเด่นชัดแต่บางชนิดกลับมีความคล้ายคลึงกันมากจนจำแนกไม่ออกด้วยตาเปล่า ต้องตรวจสอบลักษณะใต้กล้องจุลทรรศน์จึงจะแยกชนิดได้ เช่น จำแนกจากลักษณะของสปอร์ ในบางครั้งถึงกับต้องใช้ถิ่นกำเนิดตลอดจนสภาพทางนิเวศวิทยาของถิ่นกำเนิดและแหล่งกระจายพันธุ์มาช่วยพิจารณาร่วมกับลักษณะภายในและภายนอกของดอกเห็ดจึงจะจำแนกชนิดได้ถูกต้อง
เห็ดในสกุล Pleurotus (Pleurotaceae)
เห็ด Pleurotus ที่นำมารับประทานและนำมาเพาะเลี้ยงได้นั้นเป็นเห็ดที่มีถิ่นกำเนิดในต่างประเทศ แต่ชนิดที่มีการนำมาเพาะเลี้ยงในประเทศไทยนั้นมีการให้ชื่อสามัญไทยด้วยซึ่งมักจะตั้งตามลักษณะเด่นของชนิดนั้น ๆ ดังนี้
1. Pleurotus citrinopileates Singer มีชื่อสามัญไทย คือ เห็ดนางรมสีทอง (ภาพที่ 1)และชื่อสามัญอื่น ๆ คือ golden oyster mushroom, tamogitake (ญี่ปุ่น) il’mak (รัสเซีย) เห็ดนางรมชนิดนี้มีสีของหมวกดอกสีเหลืองค่อนข้างสดใส แต่หมวกดอกค่อนข้างบอบบาง มีรสขมและเผ็ดเล็กน้อย แต่เมื่อปรุงจนสุกแล้วรสนี้จะหายไปเหลือเพียงรสมัน เพาะเลี้ยงได้บนอาหารฟางหมักและอาหารขี้เลื่อยเจริญเติบโตได้ในสภาพอุณหภูมิค่อนข้างสูง มีถิ่นกำเนิดและแหล่งกระจายพันธุ์อยู่ในป่าของเขตกึ่งร้อนของโลก พบมากในจีนและญี่ปุ่นตอนใต้
ภาพที่ 1 ดอกเห็ดของเห็ดนางรมสีทอง (Pleurotus citrinopileates
2. Pleurotus cystidiosus O.K. Miller มีชื่อสามัญไทยว่าเห็ดเป๋าฮื้อและชื่อสามัญอื่น ๆ ว่า albalone mushroom, maple oyster mushroom, Miller’ oyster mushroom เป็นเห็ดเป๋าฮื้อที่เพาะเลี้ยงกันในสหรัฐอเมริกา แต่เห็ดเป๋าฮื้อที่เพาะเลี้ยงกันแพร่หลายในแถบเอเชียโดยเฉพาะในไทยและใต้วันนั้นเป็นอีกชนิดหนึ่งซึ่งมีชื่อชนิดแตกต่างกัน คือ Pleurotus abalonus Han, Chen&Cheng (ภาพที่ 2) แต่ลักษณะภายนอกของเห็ดเป๋าฮื้อ 2 ชนิดนี้ซึ่งมีถิ่นกำเนิดห่างไกลกันนั้นกลับมีความคล้ายคลึงกันมาก
ภาพที่ 2 เห็ดเป๋าฮื้อ (Pleurotus abalonus)
3. Pleurotus djamor (Fries) Boedjin semsu lato มีชื่อสามัญไทยว่าเห็ดนางนวล (ภาพที่ 3) และชื่อสามัญอื่น ๆ คือ pink oyster mushroom, salmon oyster mushroom, strawberry oyster mushroom, flamingo mushroom, takiiro hiratake (ญี่ปุ่น) และ tabang myungut (บอร์เนียว) เห็ดนางนวลนี้มีหมวกดอกสีชมพูจึงได้ชื่อสามัญหลาย ๆ ชื่อที่แสดงให้เห็นถึงลักษณะเฉพาะของเห็ดชนิดนี้ เป็นเห็ดที่พบขึ้นตามธรรมชาติทั่วไปในเขตร้อนของโลก เห็ดชนิดนี้ออกดอกเห็ดได้รวดเร็ว เพาะเลี้ยงง่ายเนื่องจากขึ้นได้ในอาหารเพาะเลี้ยงที่หลากหลาย ที่สำคัญคือเป็นเห็ดที่ทนทานต่ออากาศร้อน เส้นใยของเห็ดนางนวลมีความสามารถในการแข่งขันสูงและมักจะขยายปริมาญเส้นใยได้เร็วกว่าเชื้อราอื่น ๆ เนื่องจากเห็ดนางนวลมีถิ่นกำเนิดอยู่ในหลายแหล่งของโลกจึงมีความใกล้เคียงกันมาก ส่วนเห็ดที่มีความสับสนอยู่ในกลุ่มเห็ดนางนวลนี้มีชื่อชนิด คือ Pleurotus djamor, P. fabellatus (Berk. And Br.) Saccardo, P. ostreato-roseus Singer และ P. salmoneo-stramineus Vasil. ส่วนเห็ด Pleurotus อีกชนิดหนึ่งเป็นเห็ดนางนวลที่มีถิ่นกำเนิดในอัฟริกา คือ P. eous (Berkeley) Saccardo โดยที่เห็ดนางนวลอัฟริกานี้มีความคล้ายคลึงกันมากกับเห็ด P. djamor
ภาพที่ 3 เห็ดนางนวล (Pleurotus djamor)
4. Pleurotus euryngii (De Candolle ex Fries) Quelet sensu lato มีชื่อสามัญไทยว่าเห็ดนางรมหลวง (ภาพที่ 4) และชื่อสามัญอื่น ๆ คือ King oyster และ boletus of the Steppes เป็นเห็ดที่มีขนาดใหญ่กว่าและมีรสชาติดีกว่าเห็ดอื่นๆ ในสกุลเห็ดนางรมด้วยกัน เห็ดนางรมหลวงเป็นที่นิยมบริโภคกันมากในยุโรปเพราะเป็นเห็ดที่มีเนื้อแน่น เป็นเห็ดที่เพาะเลี้ยงได้ง่าย มีถิ่นกำเนิดและกระจายพันธุ์อยู่ในแถบตอนใต้ของยุโรป ตอนเหนือของอัฟริกา เอเชียกลาง และ รัสเซียตอนใต้
ภาพที่ 4 เห็ดนางรมหลวง (Pleurotus euryngii)
5. Pleurotus euosmus (Berkeley apud Hussey) Saccardo ไม่มีชื่อสามัญไทยเพราะไม่มีการนำเห็ดนางรมชนิดนี้มาปลูกในประเทศไทย มีชื่อสามัญทั่วไปเพียงชื่อเดียว คือ Tarragan oyster mushroom เห็ดชนิดนี้มีความคล้ายคลึงมากกับ P. ostreatus หรือเห็ดนางรมที่ปลูกเลี้ยงกันทั่วไปในประเทศไทย จึงเรียกได้ว่า P. euosmus เป็นพันธุ์หนึ่งของ P. ostreatus เพียงแต่มีกลิ่นที่แตกต่างกันออกไป ผู้เพาะเลี้ยงเห็ดในอังกฤษและสกอตแลนด์กล่าวว่าเห็ดทั้ง 2 ชนิดเมื่อนำมาเพาะเลี้ยงแล้วจะดูคล้ายคลึงกันมาก สำหรับเห็ดนางนวลชนิด P. oeus นั้น ถึงแม้ว่าจะมีชื่อของชนิดคล้ายกับ P. euossmus แต่ลักษณะกลับไปคล้ายคลึงกับ P. djamor มากกว่า
6. Pleurotus ostreatus (Jacquin ex Fries) Kumer คือเห็ดนางรมที่เพาะเลี้ยงกันทั่วไป มีชื่อสามัญไทยว่าเห็ดนางรม ชื่อสามัญอื่น ๆ คือ oyster mushroom, oyster shelf, tree oyster, straw mushroom hiratake (ญี่ปุ่น) และ tamogitake (ญี่ปุ่น) ปัจจุบันมีหลายสายพันธุ์จึงมีชื่อสามัญแตกต่างกันออกไปตามลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละสายพันธุ์ ได้แก่ เห็ดนางรมสีขาว (white type oyster mushroom ; Florida type mushroom) (ภาพที่ 5) เห็ดนางรมสีเทา (gray type oyster mushroom ; winter type oyster mushroom) (ภาพที่ 6) เห็ดนางรมดอย (blue type oyster mushroom) (ภาพที่ 7) และ เห็ดนางรมฮังการี (tree oyster mushroom) (ภาพที่ 8) เห็ดนางรมมีถิ่นกำเนิดอยู่ในป่าเมืองหนาวและป่าเมืองร้อนทั่วไปของโลก ได้รับความนิยมมากทั้งในกลุ่มผู้บริโภคและกลุ่มผู้เพาะเลี้ยง เนื่องจากมีรสดีและเพาะเลี้ยงง่าย P. ostreatus มีความคล้ายคลึงกับ Pleurotus อีกชนิดหนึ่งมาก คือ P. pulmonarius (Fries) Quelet มากเพียงแต่ชนิดหลังนี้ชอบขึ้นบนภูเขาสูง
ภาพที่ 5 กลุ่มดอกเห็ดของเห็ดนางรมสีขาว
ภาพที่ 6 ดอกเห็ดของเห็ดนางรมสีเทา
ภาพที่ 7 กลุ่มดอกเห็ดของเห็ดนางรมดอย
ภาพที่ 8 ดอกเห็ดของเห็ดนางรมฮังการี
7. Pleurotus pulmonarius (Fries) Quelet หรือ P. sajor-caju มีชื่อสามัญว่า เห็ดนางฟ้าหรือเห็ดนางรมอินเดีย (ภาพที่ 9) ชื่อสามัญอื่น ๆ คือ phoenix mushroom, Indian oyster sajor-caju, dhingri (อินเดีย) เห็ดชนิดนี้มีความคล้ายคลึงกับเห็ดนางรมชนิด P. ostreatus หรือเห็ดนางรมทั่วไปมากจนเกือบจะแยกกันไม่ออกนอกจากการใช้ถิ่นกำเนิดและแหล่งกระจายพันธุ์มาเป็นปัจจัยในการจำแนกเนื่องจาก P. pulmonarius ชอบขึ้นอยู่ในป่าบนที่สูงกว่า P. ostreatus แต่ก่อนนักอนุกรมวิธานจำแนกเห็ดชนิดนี้ไว้ในสกุล Agaricus คือ Agaricus pulmonarius Fr. ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับ P. populinus Hilber and Miller และ P. ostreatus มาก แต่ภายหลังจำแนกออกจากกันได้โดยใช้ถิ่นกำเนิดและแหล่งกระจายพันธุ์รวมทั้งลักษณะที่เห็นด้วยตาเปล่าและไม่เห็นด้วยตาเปล่ามาจำแนกออกจากกัน และในที่สุดเห็ดนางฟ้าจึงได้ชื่อวิทยาศาสตร์เป็น P. pulmonarius ดังเช่นปัจจุบัน ส่วนชื่อ P. sajor-caju นั้นที่จริงไม่ได้เป็นชื่อสำหรับเห็ดนางรมอีกชนิดหนึ่ง แต่เป็นชื่อที่ใช้เรียกเห็ดนางฟ้าหรือ P. pulmonarius นั่นเอง เพียงแต่มีผู้เพาะเลี้ยงเห็ดนางฟ้าส่วนหนึ่งเข้าใจผิดและคิดว่ามีเห็ดนางฟ้าพันธุ์หนึ่งเป็นชนิดที่แตกต่างออกไปจาก P. pulmonarius จึงได้จำแนกเห็ดนางฟ้าพันธุ์นั้นเป็นระดับชนิด แทนที่จะเป็นเพียงระดับพันธุ์ จึงเกิดชนิด P. sajor-caju ขึ้นมา แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันมีการอนุโลมให้ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ของเห็ดนางฟ้าทั้ง 2 ชื่อดังระบุไว้ข้างต้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสับสนไปมากกว่านี้ขึ้นมาในกลุ่มผู้เพาะเลี้ยงเห็ดและผู้ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ
ภาพที่ 9 ดอกเห็ดของเห็ดนางฟ้า
ภาพที่ 10 ดอกเห็ดของเห็ดนางฟ้าภูฐาน
8. Pleurotus tuberregium (Fr.) Singer มีชื่อสามัญว่าเห็ดนางรมหัว (ภาพที่ 11) และชื่อสามัญอื่น ๆ คือ king tuber oyster mushroom, tiger milk mushroom, Omon’s oyster mushroom เห็ดนางรมชนิดนี้มีลักษณะแปลกกว่าเห็ดนางรมชนิดอื่น ๆ เนื่องจากมีการสร้าง sclerotium ซึ่งเป็นกลุ่มของเส้นใยที่รวมตัวกันหนาแน่นจนเกิดเป็นก้อนขนาดใหญ่ มีรูปร่างกลมเหมือนกับหัวของพืชขึ้นมาก่อนแล้วดอกเห็ดจึงจะงอกออกมาจากหัวนี้ ปัจจุบันมีการเพาะเลี้ยงเป็นการค้า เห็ดนางรมหัวเป็นเห็ดพื้นเมืองของไนจีเรียและประเทศที่อยู่รอบนอกของทะเลทรายซะฮาราของทวีปอัฟริกา นอกจากนี้เห็ดนางรมหัวยังมีถิ่นกำเนิดในทวีปออสเตรเลียอีกด้วย ส่วนแหล่งพบกระจายพันธุ์อื่น ๆ ได้แก่ มาเลเซีย ปาปัวนิวกินี นิวคาเลโดเนีย อินโดนีเซีย พม่า และ ยูนนานของจีน
ภาพที่ 11 ดอกเห็ดของเห็ดนางรมหัว
ลักษณะทั่วไปของเห็ดนางฟ้าและการจำแนก
เห็ดนางฟ้าเป็นเห็ดในสกุลเห็ดนางรมที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันมากกับเห็ดนางรมชนิด Pleurotus ostreatus ซึ่งเป็นเห็ดนางรมชนิดที่เพาะเลี้ยงและบริโภคกันมากมาตั้งแต่เริ่มแรก เห็ดนางฟ้ามีลักษณะโดยทั่วไปคือเป็นเห็ดที่มีดอกเห็ดซึ่งอาจจะออกมาเป็นดอกเดี่ยวหรือเป็นกระจุก (ภาพที่ 12) ดอกเห็ดมีหมวกดอก มีก้านดอกสั้นหรือค่อนข้างยาวขึ้นอยู่กับสภาพการเพาะเลี้ยง ก้านดอกมีเนื้อแน่น สีขาว ไม่มีวงแหวนรอบก้านดอก หมวกดอกแผ่กว้างและแบนเมื่อแผ่ออกเต็มที่ ตรงกลางเว้าเป็นแอ่งเล็กน้อย หมวกดอกมีเนื้อแน่น ขอบหมวกดอกอาจจะม้วนขึ้นด้านบนเมื่อดอกเห็ดเจริญเต็มที่แล้ว ขอบหมวกดอกอาจมีลักษณะเป็นคลื่นเล็กน้อย (ภาพที่ 13) ขนาดความกว้างของหมวกดอกคือ 5-20 เซนติเมตร หมวกดอกมีสีเทาอ่อน (ภาพที่ 14) หรือสีเนื้อ (ภาพที่ 15) หรือสีเทาอมม่วงจางหรือสีน้ำตาลปนเทา (ภาพที่ 16) และบางครั้งมีสีชมพูหรือสีส้มเจือเล็กน้อย (ภาพที่ 17) ถ้าเพาะเลี้ยงในสภาพที่มีอุณหภูมิสูงหมวกดอกจะมีสีจางกว่าปกติ และถ้าอุณหภูมิขณะเพาะเลี้ยงต่ำสีของหมวกดอกจะเข้มขึ้น (ภาพที่ 18) ครีบดอกมีสีขาว สร้างสปอร์ที่ครีบดอก สปอร์ของเห็ดนางฟ้ามีสีขาวถึงเหลือง และเป็นสีเทาอมม่วงเมื่ออยู่เป็นกลุ่มอย่างหนาแน่น รูปร่างของสปอร์เป็นรูปทรงกระบอกมีขนาด ยาว x กว้าง เป็น 7.5-11.0 x 3.0-4.0 ไมครอน มีข้อยึดระหว่างเซลล์ (clamp connection) เส้นใยเป็นแบบ monomitic เส้นใยเป็นเส้นยาวเรียว สีขาว เมื่อเส้นใยรวมกันเป็นกลุ่มมีลักษณะเหมือนปุยฝ้าย ในระยะที่เลี้ยงเส้นใยบริสุทธิ์ลงในอาหารเมล็ดธัญพืชเส้นใยจะปล่อยกลิ่นหอม
ภาพที่ 12 กระจุกของดอกเห็ดนางฟ้าภูฐาน
ภาพที่ 13 ลักษณะของดอกเห็ดนางฟ้าภูฐาน
(C = cap ; G = gill ; S = stalk)
ภาพที่ 14 ดอกเห็ดนางฟ้าภูฐานสีเทาอ่อน
ภาพที่ 15 ดอกเห็ดนางฟ้าภูฐานสีเนื้อ
ภาพที่ 16 ดอกเห็ดนางฟ้าภูฐานสีน้าตาลปนเทา
ภาพที่ 17 ดอกเห็ดนางฟ้าภูฐานสีเทาเจือชมพู
ภาพที่ 18 ดอกเห็ดนางฟ้าภูฐานสีน้าตาลเข้ม
เห็ดนางฟ้าภูฐานและประวัติการเพาะเลี้ยง
เห็ดนางฟ้าภูฐานคือพันธุ์หนึ่งของเห็ดนางฟ้าซึ่งมีถิ่นกำเนิดในภูฐานและแถบภูเขาหิมาลัยในอินเดีย เห็ดนางฟ้าภูฐานนี้มีชื่อสามัญทั่วไปที่นิยมเรียกกันคือเห็ด sajor-caju เห็ดนางฟ้าพันธุ์นี้มีการนำเข้ามาทดลองเพาะเลี้ยงในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2518 โดย ดร.ศิริพงศ์ บุญหลง ที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ประยุกต์แห่งประเทศไทย ปรากฏว่าเจริญเติบโตได้ดีในสภาพภูมิอากาศในภาคกลางของไทย ต่อมามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้นำมาทดลองเพาะเลี้ยงในอาหารแบบต่าง ๆ และสภาพต่าง ๆ พบว่าเห็ดนางฟ้าภูฐานเจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศหลายชนิดคล้ายกับเห็ดนางรม หลังจากนั้นใน พ.ศ. 2520 กองวิจัยโรคพืช กรมวิชาการเกษตรได้นำมาทดลองเพื่อขยายผลสู่เกษตรกร จึงมีการเพาะเลี้ยงเห็ดนางฟ้าภูฐานเพื่อการค้าแพร่หลายขึ้น มีทั้งผลิตเป็นเห็ดสดและเห็ดแปรรูปเป็นเห็ดกระป๋องหรือรูปแบบอื่น ๆ
เห็ดนางฟ้าภูฐานเจริญเติบโตได้ดีในสภาพอุณหภูมิ 15-35 องศาเซลเซียส โดยมีระดับอุณหภูมิที่เหมาะสมคือ 25 องศาเซลเซียส จากการทดลองเพาะเลี้ยงเห็ดนางฟ้าภูฐานพบว่าการเลี้ยงเส้นใยบริสุทธิ์สามารถทำได้ในอาหารวุ้น PDA (potato-dextrose-agar) ที่ใช้ในการเลี้ยงเส้นใยบริสุทธิ์ของเห็ดชนิดต่าง ๆ โดยทั่วไป แต่ถ้าใช้อาหารวุ้นที่ผสมถั่วเหลืองหรือถั่วเขียวจะช่วยให้เส้นใยของเห็ดนางฟ้าภูฐานเจริญเติบโตได้ดีมาก เห็ดนางฟ้าภูฐานมีประสิทธิภาพสูงในการย่อยอาหารในก้อนเชื้อมาใช้ในการเจริญเติบโตของเส้นใยและดอกเห็ดจึงสามารถออกดอกได้เร็วมาก หลังจากเขี่ยหัวเชื้อลงไปในอาหารปุ๋ยหมักได้ 2-3 สัปดาห์ก็จะมีเส้นใยเดินเต็มถุงก้อนเชื้อและพร้อมที่จะให้เปิดดอกได้ทันที นอกจากนี้แล้วระยะห่างของช่วงการเก็บเกี่ยวค่อนข้างสั้นโดยที่ก้อนเชื้อใช้เวลาในการพักเพียง 5-7 วัน ก็จะออกดอกชุดใหม่ออกมาได้ เส้นใยของเห็ดนางฟ้าพันธุ์นี้มีความต้านทานต่อราเขียวและราดำจึงทำให้ก้อนเชื้อเกิดการปนเปื้อนในอัตราที่ค่อนข้างต่ำ เป็นประโยชน์ต่อผู้เพาะเลี้ยง และข้อดีอีกอย่างหนึ่งของเห็ดนางฟ้าภูฐานคือสามารถใช้วัสดุในการทำก้อนเชื้อได้หลากหลายและเพาะเลี้ยงได้ทุกฤดูกาล ผลผลิตของเห็ดพันธ์นี้ค่อนข้างสูงถ้าเพาะเลี้ยงในช่วงปลายฤดูฝนต่อกับต้นฤดูหนาว
แม้ว่าเห็ดนางฟ้าภูฐานจะเป็นที่รู้จักและเพาะเลี้ยงกันภายหลังจากที่เห็ดนางรมได้แพร่หลายแล้วก็ตามแต่เห็ดนางฟ้าก็ได้รับความนิยมตามมาอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเพาะเลี้ยงง่ายและให้ผลผลิตเร็วจึงทำให้มีปัญหาในการเพาะเลี้ยงน้อยกว่าเห็ดเศรษฐกิจชนิดอื่น ๆ รวมทั้งเห็ดนางรม สำหรับสายพันธุ์ย่อยของเห็ดนางฟ้าภูฐานนั้นอาจารย์อานนท์ เอื้อตระกูล ผู้ซึ่งได้รับเชิญจากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ให้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเพาะเลี้ยงเห็ดประจำ ณ. ประเทศภูฐาน ได้รวบรวมและคัดเลือกเชื้อเห็ดนางฟ้าสายพันธุ์ที่มีถิ่นกำเนิดในภูฐานแล้วส่งมาทดสอบในประเทศไทยจนกระทั่งเชื้อเห็ดเหล่านั้นปรับตัวและเจริญเติบโตได้ในสภาพของการเพาะเลี้ยงในประเทศไทย จึงได้พันธุ์ของเห็ดนางฟ้าภูฐานไว้เพาะเลี้ยงมากขึ้น
คุณค่าทางอาหาร
เห็ดนางฟ้ามีคุณค่าของอาหารค่อนข้างสูง คือมีโปรตีนหยาบ (N x 4.38) : 14-27 เปอร์เซ็นต์ ไขมัน 2 เปอร์เซ็นต์ คาร์โบไฮเดรต 51 เปอร์เซ็นต์ จากน้ำหนักแห้งของดอกเห็ด นอกจากนี้ยังมีธาตุอาหารและกรดอะมิโนด้วย ดังนี้
ปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโต
ในการเพาะเลี้ยงเห็ดนางฟ้าจำเป็นจะต้องทราบความต้องการปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเจริญเติบโตเพื่อที่จะได้ปรับสภาพของการเพาะเลี้ยงให้พอเหมาะกับความต้องการเพื่อให้เกิดผลผลิตที่สูงทั้งปริมาณและคุณภาพ ปัจจัยดังกล่าวมีดังนี้
1. อุณหภูมิ อุณหภูมิมีผลต่อการเจริญของกลุ่มเส้นใยในระยะที่จะพัฒนาไปเป็นดอกเห็ด โดยที่อุณหภูมิในช่วงที่เหมาะสมต่อการเจริญเป็นดอกเห็ดของเห็ดนางฟ้าคือประมาณ 25 องศาเซลเซียส ถ้าอุณหภูมิต่ำลงถึง 15 องศาเซลเซียสหรือสูงกว่า 35 องศาเซลเซียส จะทำให้เส้นใยไม่พัฒนาไปเป็นดอกเห็ดจึงไม่มีดอกเห็ดออกมาจากก้อนเชื้อ นอกจากนี้ยังมีรายงานจากการทดลองไว้ว่าการให้ก้อนเชื้อได้รับอุณหภูมิต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียส เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ จะมีผลในการชักนำให้เส้นใยพัฒนาไปเป็นดอกเห็ดได้ดีขึ้น หรือถ้าเพาะเลี้ยงเห็ดนางฟ้าในพื้นที่ภาคเหนือในช่วงที่กลางคืนมีความหนาวเย็นอุณหภูมิที่ค่อนข้างต่ำในสภาพธรรมชาติตามฤดูกาลจะเพียงพอในการช่วยกระตุ้นให้ก้อนเชื้อออกดอกมากขึ้นได้เช่นกัน
2. ความชื้น เห็ดนางฟ้าต้องการสภาพความชื้นในอากาศค่อนข้างสูงสำหรับการเจริญเติบโต ดังนั้นในโรงเรือนเปิดดอกเห็ดจึงควรจะต้องมีการรักษาความชื้นสัมพัทธ์ภายในโรงเรือนให้สูง ให้อยู่ในระดับ 80-85 เปอร์เซ็นต์
3. ปริมาณธาตุอาหารในก้อนเชื้อ ความสำคัญของธาตุอาหารในก้อนเชื้อเห็นได้จากผลการทดลองที่ใส่ปุ๋ยแอมโนเนียมไนเตรทลงไปในส่วนผสมของก้อนเชื้อ พบว่าการใส่ปุ๋ยดังกล่าวทำให้ดอกเห็ดมีธาตุในโตรเจนเพิ่มขึ้นถึง 5.32 เปอร์เซ็นต์ และถ้าใช้ถั่วเหลืองหรือถั่ว alfalfa ลงไปแทนการใส่ปุ๋ย พบว่าสามารถเพิ่มในโตรเจนได้ 5.46 และ 8.8 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ดังเห็นได้จากผลงานวิจัย (Zadrazil and Kurtzman, 1982) ในตารางที่ 1
4. อากาศ ภายในโรงเรือนเปิดดอกต้องมีการถ่ายเทอากาศที่ดีมิเช่นนั้นจะทำให้เกิดปัญหาของการขาดกาซออกซิเจนซึ่งจะมีผลต่อการสร้างตุ่มดอกเห็ด (primordia) ทำให้ผลผลิตดอกเห็ดต่ำหรือทำให้ตุ่มดอกเห็ดที่เกิดขึ้นมีคุณภาพต่ำและพัฒนาไปเป็นดอกเห็ดที่มีลักษณะผิดปกติ
5. แสง แม้ว่าเส้นใยของเห็ดนางฟ้าจะสามารถเจริญเติบโตได้ในที่ซึ่งไม่มีแสงหรือมีแสงน้อย แต่การที่เห็ดนางฟ้าจะออกดอกดีนั้นจะต้องมีแสงเพียงพอในระดับหนึ่งจึงจะทำให้ดอกเห็ดสมบูรณ์
6. ความเป็นกรดเป็นด่าง เห็ดนางฟ้าเจริญเติบโตได้ดีในอาหารที่มีสภาพเป็นกรดจนถึงปานกลาง ค่า pH จึงควรจะอยู่ระหว่าง 5-7
การเพาะเลี้ยงเห็ดนางฟ้าภูฐาน
เห็ดนางฟ้าสายพันธุ์ภูฐานเหมาะสมที่จะเผยแพร่ให้เกษตรกรไทยเพาะเลี้ยงเนื่องจากมีลักษณะและคุณสมบัติที่เด่น ดังนี้
1. เส้นใยเจริญได้ดีและรวดเร็วทั้งในอาหารวุ้นและในหัวเชื้อหรืออาหารเมล็ดธัญพืชจึงทำให้การเพาะเลี้ยงไม่ยุ่งยากและไม่มีข้อจำกัดมาก ทำให้สะดวกสำหรับผู้เพาะเลี้ยง
2. สร้างดอกเห็ดได้เร็วเพราะมีความสามารถสูงในการใช้อาหารเพื่อการเจริญเติบโตจึงออกดอกเร็ว ดอกเห็ดแก่และพร้อมที่จะให้เก็บเกี่ยวได้เร็ว ยิ่งถ้าใส่อาหารเสริมลงไปในก้อนเชื้อมากก็จะยิ่งได้ผลผลิตมาก นอกจากนี้ถ้าสามารถปรับอุณหภูมิในระยะที่บ่มก้อนเชื้อให้อยู่ระหว่าง 24-26 องศาเซลเซียส ก็จะช่วยให้เส้นใยเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียง 16-21 วันเท่านั้นก็จะเริ่มปรากฏดอกเห็ดขนาดจิ๋วให้เห็นในถุงก้อนเชื้อ พร้อมที่จะเปิดดอกได้ทันที
3. ช่วงของการออกดอกจากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่งค่อนข้างสั้น คือ 5-7 วัน จึงให้ผลผลิตเร็วและเก็บเกี่ยวได้หลายรุ่น ไม่ต้องรอนาน
4. เส้นใยมีความต้านทานต่อราสีเขียวและราสีดำสูงมากจึงเกิดการปนเปื้อนของเชื้อราและแบคทีเรียน้อย อัตราการสูญเสียของก้อนเชื้อจึงค่อนข้างต่ำ
5. เพาะเลี้ยงได้ตลอดปี
6. ดอกเห็ดสดสามารถเก็บรักษาหลังการเก็บเกี่ยวได้นานกว่าเห็ดนางรมชนิดอื่นและสายพันธุ์อื่น
ทั้งนี้ผู้เพาะเลี้ยงเห็ดนางฟ้าในกรุงเทพมหานครได้กล่าวไว้ว่าเห็ดนางฟ้าภูฐานให้ผลผลิตสูงกว่าเห็ดนางรมและเห็ดชนิดอื่น ๆ ก้อนเชื้อที่หนัก 1 กิโลกรัมจะให้ผลผลิตดอกเห็ดสด 300-500 กรัม และกล่าวอีกด้วยว่าเห็ดนางฟ้าภูฐานมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอากาศมาก ถ้าสภาพอากาศปกติการบ่มเชื้อใช้เวลา 21-25 วัน แต่ถ้าเป็นฤดูหนาวการบ่มเชื้อใช้เวลาเพียง 15-20 วัน และในระยะที่เห็ดออกดอกถ้ามีอากาศเย็นดอกเห็ดจะออกเร็วและหมวกดอกมีสีเข้ม แต่ในช่วงฤดูร้อนดอกเห็ดจะออกช้าและหมวกดอกมีสีซีด
การเพาะเลี้ยงเห็ดนางฟ้าภูฐานใช้วิธีการเดียวกันกับการเพาะเลี้ยงเห็ดนางรม แต่การดูแลในช่วงเปิดดอกเห็ดอาจจะแตกต่างกันเล็กน้อยในรายละเอียด ขั้นตอนของการเพาะเลี้ยงโดยทั่วไปมีดังนี้
1. การเลี้ยงเชื้อบริสุทธิ์ เป็นการเพาะเลี้ยงเส้นใยเพื่อผลิตหัวเชื้อบริสุทธิ์โดยการนำเนื้อเยื่อของดอกเห็ดซึ่งอยู่ในระยะก่อนการปลดปล่อยสปอร์มาเลี้ยงบนอาหารวุ้นให้เกิดการเจริญของเส้นใยเพื่อจะได้นำไปขยายเชื้อให้เส้นใยมีปริมาณมากขึ้น วิธีการคือนำส่วนผสมของอาหารพื้นฐานที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อและเส้นใยมาผสมกับผงวุ้นเพื่อให้เป็นอาหารแข็ง แล้วนำเนื้อเยื่อของดอกเห็ดมาเลี้ยงบนอาหารวุ้นนั้นเพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างเส้นใย ต่อมาเมื่อเส้นใยเหล่านั้นได้รับสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตจากอาหารวุ้นแล้วเส้นใยจะมีการขยายตัวและเพิ่มปริมาณให้มากขึ้นกลายเป็นเชื้อบริสุทธิ์ที่สามารถนำไปขยายเพื่อเพิ่มปริมาณให้มากขึ้นต่อไปในอาหารเมล็ดธัญพืช
เนื้อเยื่อและเส้นใยจากดอกเห็ดนางฟ้าภูฐานเจริญเติบโตได้ดีในอาหารวุ้นที่ใช้เลี้ยงเชื้อบริสุทธิ์ของเห็ดโดยทั่วไป คือ อาหารวุ้น PDA (potato-dextrose-agar) อาหารชนิดนี้ใช้ส่วนผสมไม่ยุ่งยาก
มีเพียงมันฝรั่ง 200 กรัม น้ำตาลกลูโคส 200 กรัม ผงวุ้น 20 กรัม และ น้ำ 1 ลิตร การเตรียมคือ นำมันฝรั่งที่ปอกเปลือกออกแล้ว ล้างให้สะอาด หั่นเป็นแว่นบาง ๆ ต้มในน้ำ เมื่อสุกแล้วกรองเอาแต่น้ำ ใส่น้ำตาลและผงวุ้นลงไปแล้วต้มให้เดือดอีกครั้ง รอจนอาหารวุ้นเหลวเย็นลงจึงกรอกลงในขวดแบน ใช้จุกสำลีปั้นเป็นก้อนกลมอุดปากขวด ทับจุกด้วยกระดาษแล้วรัดคอขวดด้วยยางรัด นำขวดไปวางเอียงเพื่อให้มีพื้นที่ผิวของอาหารมากขึ้นจะได้เลี้ยงเส้นใยได้มากขึ้นตามไป เมื่ออาหารเย็นลงและแข็งตัวดีแล้วจึงเขี่ยเนื้อเยื่อของดอกเห็ดลงไปเลี้ยงในขวดอาหารนั้น
การเลี้ยงเชื้อบริสุทธิ์จะต้องมีการเริ่มต้นที่ดี คือ ต้องเลือกดอกเห็ดนางฟ้าภูฐานที่จะนำมาผลิตเชื้อบริสุทธิ์ให้เป็นดอกเห็ดที่สมบูรณ์และแข็งแรง จึงจะได้เส้นใยบริสุทธิ์ที่แข็งแรงตามมา ดอกเห็ดจะต้องอยู่ในระยะก่อนที่จะปลดปล่อยสปอร์ มิเช่นนั้นเส้นใยจะไม่แข็งแรงนัก ทำให้ได้เชื้ออ่อนแอที่สามารถสร้างปัญหาให้ภายหลังได้ เมื่อได้ดอกเห็ดมาแล้วจึงทำความสะอาดดอกเห็ดก่อนจะนำไปเขี่ยเนื้อเยื่อในตู้ปลอดเชื้อ โดยมีอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการเขี่ยเชื้อที่ทำความสะอาดแล้วเช่นกัน
เมื่อจะเขี่ยเชื้อให้ฉีกดอกเห็ดออก แบ่งครึ่งตามยาว ใช้เข็มเขี่ยลนไฟ เปิดจุกขวดอาหารวุ้นออก เขี่ยเนื้อเยื่อดอกเห็ดจากบริเวณที่หมวกดอกเห็ดต่อกับก้านดอก เขี่ยเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้ววางลงบนผิวของอาหารวุ้นตรงกลางพื้นที่ผิว อุดปากขวดไว้ดังเดิมแล้วนำออกจากตู้ไปวางเรียงในห้องที่สะอาดเพื่อบ่มเชื้อให้เกิดเส้นใยของเชื้อเห็ดออกมาจากเนื้อเยื่อแล้วขยายตัวเพิ่มปริมาณอยู่บนอาหารวุ้นนั้น เส้นใยจะเกิดจนเต็มภายในเวลา 10-15 วัน จากนั้นเลือกขวดที่เส้นใยเจริญดีไม่มีการปนเปื้อนของเชื้ออื่นไปใช้ในการขยายเชื้อในอาหารเมล็ดธัญพืชต่อไป
2. การขยายเชื้อ การขยายเชื้อเห็ดนางฟ้าภูฐานใช้วิธีการเดียวกันกับของเห็ดนางรมคือขยายเชื้อในอาหารเมล็ดข้าวฟ่าง เตรียมโดยการเลือกเมล็ดข้าวฟ่างที่สมบูรณ์มาล้างให้สะอาดแล้วแช่ไว้ในน้ำทิ้งไว้ประมาณ 15 ชั่วโมง จากนั้นนำไปต้มให้สุก เมื่อเมล็ดข้าวฟ่างเย็นลงบรรจุในขวดกลมหรือขวดแบนให้มีปริมาณ 1/2 หรือ 2/3 ของขวด อุดปากขวดด้วยจุกสำลีปิดทับด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ รัดปากขวดด้วยยางรัด นำไปนึ่งฆ่าเชื้อด้วยหม้อนึ่งความดัน ใช้ความดัน 15 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว นึ่งนาน 30 นาที จากนั้นนำออกมาวางเรียงให้ขวดเย็นลงก่อนที่จะนำไปใช้ขยายเชื้อ
เมื่ออาหารเมล็ดข้าวฟ่างพร้อมสำหรับการขยายเชื้อแล้วจึงเลือกขวดอาหารวุ้นซึ่งมีเส้นใยที่เป็นเชื้อบริสุทธิ์ที่เกิดจากเนื้อเยื่อของเห็ดนางฟ้าที่เขี่ยลงไปเลี้ยงในขวดอาหารวุ้น เชื้อที่แข็งแรงจะสังเกตุได้จากการไม่มีเส้นใยอื่นปลอมปนซึ่งแสดงออกโดยการมีเส้นใยที่สีแตกต่างไปจากสีของเส้นใยบริสุทธิ์ การใส่เชื้อบริสุทธิ์ลงไปเลี้ยงในขวดอาหารเมล็ดข้าวฟ่างนั้นเส้นใยจะดึงอาหารที่ย่อยได้จากเมล็ดข้าวฟ่างไปใช้สำหรับการเจริญเติบโตและการขยายปริมาณของเส้นใยให้มากขึ้น การที่ต้องขยายเชื้อเห็ดหลังจากที่ได้เส้นใยบริสุทธิ์ให้มีเส้นใยในปริมาณมากขึ้นนั้นเนื่องจากในการเพาะเลี้ยงเห็ดให้ได้ผลผลิตดอกเห็ดในปริมาณมากนั้นจะต้องใช้เส้นใยในปริมาณมากเช่นกันจึงจะได้ผลผลิตมากตามต้องการ และการเลี้ยงเส้นใยในอาหารเมล็ดธัญพืชนั้นเป็นวิธีการที่เหมาะสมเพราะว่าเส้นใยจะเกาะอยู่รอบ ๆ เมล็ดธัญพืชเพื่อให้เมล็ดธัญพืชเหล่านั้นเป็นตัวพาเส้นใยลงไปเลี้ยงในอาหารก้อนเชื้อได้สะดวกกว่าการเขี่ยเส้นใยจากอาหารวุ้นโดยตรง
สำหรับการเขี่ยเชื้อบริสุทธิ์ลงไปในขวดอาหารเมล็ดข้าวฟ่างนั้นต้องทำในตู้ปลอดเชื้อที่ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว เมื่อจะเขี่ยเชื้อจึงเปิดปากขวดอาหารเมล็ดข้าวฟ่างและขวดอาหารวุ้นไปพร้อม ๆ กัน ใช้เข็มเขี่ยที่ชุบแอลกอฮอล์และลนไฟแล้วเขี่ยอาหารวุ้นบริเวณที่มีเส้นใยหนาแน่นออกมาแล้วใส่ลงไปในขวดเมล็ดข้าวฟ่างโดยใส่ลงไปที่บริเวณกลางขวดอาหาร ปิดจุกสำลีทิ้งไว้ดังเดิม เขย่าขวดให้เมล็ดข้าวฟ่างกลบชิ้นวุ้นและเพื่อกระจายความชื้นภายในขวดให้ทั่ว นำขวดเมล็ดข้าวฟ่างที่เขี่ยเชื้อแล้วไปเรียงและบ่มไว้ในห้องที่สะอาด จนกระทั่งเชื้อเดินเต็มขวด ตลอดช่วงของการบ่มเส้นใยนี้ต้องสังเกตดูการติดเชื้ออื่นด้วย เมื่อพบการติดเชื้อในขวดใดก็ตามให้นำออกไปเสียจากห้องบ่ม ขวดอาหารข้าวฟ่างที่สะอาดจะมีเส้นใยที่มีคุณภาพและแข็งแรงเดินอยู่เต็มและพร้อมที่จะได้รับการนำไปเลี้ยงในก้อนเชื้อเพื่อสร้างดอกเห็ด
3. การเลี้ยงเชื้อเพื่อผลิตดอกเห็ด การเพาะเลี้ยงเห็ดนางฟ้าภูฐานและเห็ดนางรมชนิดอื่น ๆ นั้น ขั้นตอนที่สำคัญและเป็นขั้นตอนที่ต้องปฏิบัติแบบปลอดเชื้ออีกขั้นตอนหนึ่งก็คือขั้นตอนของการถ่ายเชื้อเห็ดที่ผ่านการขยายปริมาณได้มากแล้วในขวดอาหารเมล็ดธัญพืชลงไปเลี้ยงในอาหารผสมที่เส้นใยสามารถย่อยและสกัดสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตออกมา รวมทั้งจะต้องมีการใส่สารอาหารอื่น ๆ เสริมลงไปด้วยเพื่อกระตุ้นการเจริญและการพัฒนาให้มีการรวมตัวของเส้นใยให้มากพอจนกลุ่มเส้นใยเหล่านั้นมีการเจริญเป็นตุ่มดอกเห็ด (primordia) เพื่อพัฒนาต่อไปเป็นฟรุตติ้งบอดี้ (fruiting body) หรือดอกเห็ดขนาดเล็กแล้วรอเวลาที่จะออกมาเจริญเติบโตภายนอกอาหารเพาะเลี้ยง
ในขั้นตอนดังกล่าวนี้อาหารที่เลี้ยงเส้นใยจะต้องเป็นอาหารที่มีสภาพและคุณสมบัติเลียนแบบสภาพธรรมชาติที่เห็ดแต่ละชนิดขึ้นอยู่ ซึ่งได้แก่อาหาร 2 ประเภท คือ ประเภทที่มีเศษไม้เป็นส่วนผสมหลักถ้าหากเห็ดที่จะเพาะนั้นขึ้นอยู่บนตอไม้ผุหรือขึ้นบนต้นไม้และกิ่งไม้ ส่วนอาหารอีกประเภทหนึ่ง คือ อาหารที่มีเศษอินทรียวัตถุหมักเป็นส่วนผสมหลัก ถ้าเห็ดที่เพาะนั้นขึ้นบนปุ๋ยหมักหรือกองของเศษวัสดุอินทรีย์ที่กำลังย่อยสลาย โดยมีสารอาหารอื่น ๆ เป็นส่วนผสมรอง ตามความจำเป็นและความเหมาะสม อาหารผสมเหล่านี้มักจะได้รับการบรรจุลงถุงพลาสติกแล้วเรียกว่าก้อนเชื้อเพื่อเลี้ยงเส้นใยให้เป็นดอกเห็ด ก้อนเชื้อเหล่านี้จะถูกนำไปถ่ายเชื้อหรือถ่ายเส้นใยจากขวดเมล็ดธัญพืชลงไป แล้วนำไปบ่มในสภาพที่เหมาะสมเพื่อให้เส้นใยขยายและเพิ่มปริมาณจนรวมตัวกันเป็นเส้นใยซึ่งต่อมาพัฒนาเป็นจุดกำเนิดของดอกเห็ดดังกล่าวแล้วข้างต้น
สำหรับการเพาะเลี้ยงเห็ดนางฟ้าภูฐานนั้นปัจจุบันนิยมใช้ก้อนเชื้อที่มีขี้เลื่อยเป็นส่วนผสมหลักเนื่องจากเป็นวัสดุที่ใช้ได้ผล แต่อย่างไรก็ตามผู้เพาะเลี้ยงเห็ดบางส่วนใช้ก้อนเชื้อปุ๋ยหมักแทน ซึ่งพบว่าใช้เลี้ยงได้เหมือนกัน หรืออาจจะใช้อาหารทั้ง 2 ประเภทผสมกันคือมีทั้งขี้เลื่อยและเศษวัสดุอินทรีย์ที่มีการสลายตัว จาการปฏิบัติได้สูตรของส่วนผสมของก้อนเชื้อที่ใช้เลี้ยงเห็ดนางฟ้าภูฐานหลายสูตร ดังนี้
การทำก้อนเชื้อขี้เลื่อยทำโดยการนำส่วนผสมทั้งหมดมาคลุกให้เข้ากันแล้วค่อย ๆ เติมน้ำลงไปเพื่อปรับความชื้น ผสมจนเข้ากันดีให้มีความชื้นของส่วนผสมพอดีแล้วจึงนำไปบรรจุลงในถุงพลาสติกทรงสี่เหลี่ยมให้มีน้ำหนัก 800 กรัม ต่อถุง อัดให้แน่น ใส่คอขวดพลาสติกที่ปากถุง อุดปากขวดด้วยก้อนสำลีที่พันกันแน่น ปิดทับด้วยกระดาษแล้วรัดด้วยยางรัดที่คอขวดให้แน่น นำขวดเรียงในหม้อนึ่งซึ่งอาจใช้หม้อนึ่งความดันหรือหม้อนึ่งพื้นบ้านก็ได้ ถ้าต้องการผลิตก้อนเชื้อในปริมาณมาก ผู้เพาะเลี้ยงมักจะใช้หม้อนึ่งพื้นบ้านซึ่งเป็นหม้อนึ่งที่เกิดจากภูมิปัญญาชาวบ้านเป็นหม้อนึ่งซึ่งประดอบด้วยวัสดุที่หาได้ง่าย ไม่สิ้นเปลืองแต่ใช้หลักการเดียวกันคือให้ความร้อนสูงจากไอน้ำเพื่อฆ่าเชื้อในก้อนเชื้อ การใช้หม้อนึ่งพื้นบ้านจะช่วยให้สามารถนึ่งก้อนเชื้อได้ครั้งละมาก ๆ เป็นการประหยัดต้นทุนและเวลาในการนึ่งก้อนเชื้อ (ภาพที่ 19-21)
ภาพที่ 19 หม้อนึ่งพื้นบ้านประกอบด้วยวัสดุที่หาได้ง่ายไม่ซับซ้อน
ภาพที่ 20 หม้อนึ่งพื้นบ้านบรรจุก้อนเชื้อได้มาก
ภาพที่ 21 หม้อนึ่งพื้นบ้านมีประสิทธิภาพสูงในการฆ่าเชื้อในก้อนเชื้อ
สำหรับการผสมอาหารก้อนเชื้อที่ใช้วัสดุฟางข้าวแห้งนั้นต้องย่อยฟางให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ เสียก่อนด้วยการสับหรือบดหยาบแล้วนำฟางไปหมักเสียก่อน โดยฉีดน้ำให้กับฟางจนชุ่มแล้วผสมปุ๋ยและดีเกลือลงไปตามสูตรที่เลือกใช้ คลุกให้เข้ากันแล้วขึ้นกองปุ๋ย คลุมด้วยแผ่นพลาสติก หมักไว้ 3 วัน จากนั้นกลับกองปุ๋ยฟางหมักอีก 2 ครั้ง โดยเว้นระยะ 3 วัน ครั้งสุดท้ายผสมปูนขาวลงไปคลุกให้เข้ากัน แล้วนำอาหารที่ผสมดีแล้วไปใส่ในถุง นึ่งฆ่าเชื้อด้วยวิธีเดียวกันกับที่ทำกับสูตรที่ใช้ขี้เลื่อย แต่ในวิธีนี้ก่อนจะบรรจุอาหารผสมลงถุงควรจะต้องตรวจสอบความชื้นของฟางหมักในกองปุ๋ยเสียก่อน ถ้าเห็นว่าความชื้นมากเกินไปจะต้องเกลี่ยกองปุ๋ยแล้วผึ่งอาหารให้ความชื้นลดลงจนพอเหมาะเสียก่อนแล้วจึงบรรจุลงถุง เพราะถุงก้อนเชื้อที่มีความชื้นมากเกินไปจะทำให้เชื้อราอื่น ๆ และเชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตได้แล้วเข้าทำลายเชื้อเห็ดในเวลาต่อมา จากนั้นก้อนเชื้อจะเน่าเสียหาย
เมื่อก้อนเชื้อผ่านการนึ่งฆ่าเชื้อแล้วจึงนำมาวางเรียงไว้ในห้องที่สะอาด ลมไม่โกรก เพื่อการถ่ายเชื้อหรือถ่ายเส้นใยจากขวดอาหารเมล็ดธัญพืชลงไป การถ่ายเมล็ดข้าวฟ่างที่มีเชื้อลงไปในก้อนเชื้อนั้น โดยทั่วไปแล้วหลังจากที่เปิดจุกของก้อนเชื้อจะใช้ไม้แหลมที่สะอาดแทงลงไปให้เกิดรูเพื่อเขี่ยเมล็ดข้าวฟ่างให้ตกลงไปในรู ปิดจุกไว้ดังเดิม บ่มก้อนเชื้อไว้ในห้องต่อไปเพื่อกระตุ้นให้เชื้อขยายอยู่ในถุงก้อนเชื้อ เส้นใยจะรวมกันและพัฒนาเป็นฟรุตติ้งบอดี้ต่อไป เมื่อมีการเปิดก้อนเชื้อแล้วบ่มไว้ในโรงเปิดดอกที่มีสภาพเหมาะสมดอกเห็ดนางฟ้าภูฐานจะทยอยกันออกมาจากก้อนเชื้อ โดยทั่วไปแล้วเส้นใยของเห็ดนางฟ้าภูฐานจะใช้เวลาในการขยายปริมาณหรือเดินเส้นใย 30-40 วัน จึงเดินเต็มถุงก้อนเชื้อ
4. การเปิดดอกเห็ด การเปิดดอกเห็ดนางฟ้าภูฐานกระทำหลังจากที่เส้นใยของเห็ดเดินเต็มก้อนเชื้อแล้วและเส้นใยเห็ดรัดตัว มีการสะสมอาหารเพียงพอเพื่อการเกิดดอกเห็ด จากนั้นจึงจะนำก้อนเชื้อเหล่านั้นไปเปิดดอกในโรงเรือนเปิดดอกเห็ด ซึ่งควบคุมสภาพในโรงเรือนให้เป็นไปตามที่เชื้อเห็ดต้องการ คือให้มีความชื้นสัมพันธ์ภายในโรงเรือนเป็น 80-85 เปอร์เซ็นต์ และอุณหภูมิที่ 25-30 องศาเซลเซียส ต้องดูแลความสะอาดของโรงเรือนด้วยให้ปราศจากแมลงที่เป็นศัตรูเข้าทำลายก้อนเชื้อ เนื่องจากในขณะที่ดอกเห็ดนางฟ้าภูฐานออกมาเจริญเติบโตนอกก้อนเชื้อนั้นดอกเห็ดจะปล่อยกลิ่นหอมออกมาซึ่งกลิ่นนี้สามารถดึงดูดแมลงต่าง ๆ ได้ โดยเฉพาะแมลงหวี่ ทำให้เกิดความเสียหายกับดอกเห็ด
การเก็บเกี่ยวดอกเห็ดทำโดยการโยกโคนก้านดอกเห็ดหรือกลุ่มดอกเห็ดเบา ๆ ด้วยมือหลังจากการเก็บเกี่ยวดอกเห็ดรุ่นแรกแล้วก้อนเชื้อจะใช้เวลา 5-10 วัน ในการพัก จากนั้นดอกเห็ดรุ่นต่อมาจะโผล่ออกจากก้อนเชื้อได้อีกเป็นรุ่น ๆ การเก็บเกี่ยวผลผลิตจะทำได้หลายรุ่นหรือไม่ขึ้นอยู่กับสูตรอาหารและการปฏิบัติปลีกย่อยต่าง ๆ ในการดูแลรักษา
แนวคิดในการศึกษาวิจัย
ฝ่ายศึกษาและทดสอบการปลูกพืชของศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ได้จัดให้มีการฝึกอบรมเพื่อสร้างอาชีพการเพาะเลี้ยงเห็ดเศรษฐกิจให้กับเกษตรกรและประชาชนผู้สนใจมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ได้มีเกษตรกรรวมทั้งผู้เพาะเลี้ยงเห็ดทั้งผู้ที่ประกอบอาชีพการเพาะเลี้ยงเห็ดอยู่แล้วและผู้ที่มีความสนใจที่จะเริ่มงานมารับการฝึกอบรมเป็นจำนวนมาก (ภาพที่ 22-26) จากการสนทนาเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในระหว่างการฝึกอบรมทำให้ฝ่ายฯ ได้ทราบปัญหาหลายด้านที่เกิดขึ้นในการเพาะเลี้ยงเห็ดหลายชนิดในสภาพของการเพาะเลี้ยงและวิธีการเพาะเลี้ยงที่แตกต่างกันไป สำหรับการเพาะเลี้ยงเห็ดนางรมและเห็ดนางฟ้าภูฐานนั้น การปรับปรุงเทคนิคในแง่ต่าง ๆ จะช่วยให้การลงทุนเพาะเลี้ยงเห็ดชนิดนี้มีผลตอบแทนคืนสู่ผู้ประกอบการได้มากขึ้น ปัญหาหนึ่งที่ฝ่ายฯ ได้นำมาวิจัยเพื่อหาวิธีการแก้ปัญหาในด้านการลดต้นทุนการผลิต คือ การปรับปรุงส่วนผสมของก้อนเชื้อเพื่อเพาะเลี้ยงเห็ดนางฟ้าภูฐาน โดยการทดสอบความเป็นไปได้ของการใช้วัสดุพื้นบ้านชนิดต่าง ๆ มาเป็นส่วนผสมหลักของก้อนเชื้อ และคาดว่าผลที่ได้จะเป็นประโยชน์ในการประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติเพื่อช่วยแก้ปัญหาของเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงเห็ดเป็นอาชีพ
ภาพที่ 22 เกษตรกรเข้ารับการฝึกอบรมการเพาะเลี้ยงเห็ด
ภาพที่ 23 ประชาชนทั่วไปฝึกอบรมการเพาะเลี้ยงเห็ด
ภาพที่ 24 กลุ่มแม่บ้านและนักเรียนฝึกการเตรียมอาหารเมล็ดธัญพืช
ภาพที่ 25 คณะครูและนักเรียนฝึกการเตรียมก้อนเชื้อ
ภาพที่ 26 เจ้าหน้าที่จากสาธารณรัฐประชาชนลาวฝึกการเตรียมอาหารวุ้น PDA
วัตถุประสงค์ของโครงการ
-
วิธีดำเนินการ
การศึกษาเพื่อทดสอบประสิทธิภาพของวัสดุพื้นบ้านในการใช้เป็นส่วนผสมหลักของก้อนเชื้อที่ใช้เพาะเลี้ยงเห็ดนางฟ้าภูฐานครั้งนี้เป็นการเลือกใช้ 1)วัสดุที่เป็นผลพลอยได้จากการผลิตพืชซึ่งได้แก่ ฟางข้าว เปลือกถั่วเหลือง รำหยาบ และ ชานอ้อย 2) เศษวัชพืช ได้แก่ จอกหูหนูแห้ง และเศษไม้ของไมยราพยักษ์ และ 3) ไม้จากต้นไม้ที่หาได้ง่ายในพื้นที่ ได้แก่ ไม้กระถินยักษ์ ไม้ฉำฉา และ ไม้มะม่วง โดยเปรียบเทียบวัสดุต่าง ๆ เหล่านั้นกับขี้เลื่อยไม้ยางพาราซึ่งเป็นวัสดุที่ต้องซื้อจากโรงเลื่อย โดยให้ขี้เลื่อยไม้ยางพาราเป็นกรรมวิธีควบคุมเนื่องจากเป็นวัสดุหลักของส่วนผสมก้อนเชื้อที่ใช้ได้ผลดีในการเพาะเลี้ยงเห็ดนางรมและเห็ดนางฟ้าเป็นการค้าในปัจจุบัน
การเตรียมส่วนผสมของก้อนเชื้อนั้นใช้วัสดุดังระบุไว้เป็นส่วนผสมหลัก จึงได้กรรมวิธีการทดลองซึ่งมีวัสดุต่าง ๆ เหล่านั้นเป็นกรรมวิธีการทดลองรวม 10 กรรมวิธี กรรมวิธีที่ 1 ถึง 5 (T1-T5) มีวัสดุทดลอง เป็น ฟางข้าว เปลือกถั่วเหลือง รำหยาบ ชานอ้อย และ จอกหูหนู ตามลำดับ กรรมวิธีที่ 6 ถึง 10 (T6-T10) มีวัสดุทดลองเป็นขี้เลื่อยของไม้ 5 ชนิด คือ ไมยราพยักษ์ กระถินยักษ์ มะม่วง ฉำฉา และ ยางพารา ให้ T1-T9 เป็นกรรมวิธีทดสอบและ T10 เป็นกรรมวิธีควบคุมหรือกรรมวิธีเปรียบเทียบโดยใช้วัสดุหลักในปริมาณ 100 กิโลกรัมและมีส่วนผสมอื่น ๆ ที่ใช้ในการทำก้อนเชื้อ คือ รำละเอียด 5 กิโลกรัม ปูนขาว 1 กิโลกรัม ดีเกลือ 0.2 กิโลกรัม และ ใช้น้ำ 50-60 เปอร์เซ็นต์ในการปรับความชื้นให้กับส่วนผสม แต่กรรมวิธีที่ใช้ฟางข้าวนั้นเพิ่มส่วนผสมอีก 1 อย่าง คือ ยูเรียในปริมาณ1 กิโลกรัมเนื่องจากจะต้องหมักฟางข้าวซึ่งสับให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ก่อนที่จะนำไปผสมกับส่วนผสมอื่น ๆ
วิธีการผสมอาหารเพื่อทำก้อนเชื้อในกรรมวิธีที่ 2 ถึง 10 (T2-T10) ใช้วิธีการคลุกส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันแล้วเติมน้ำลงไปในขณะคลุกเพื่อปรับความชื้นให้กับส่วนผสม ทดสอบความชื้นโดยการกำส่วนผสมที่คลุกแล้วให้แน่น ถ้าส่วนผสมเกาะกันเป็นก้อนโดยไม่มีน้ำออกมาแสดงว่าความชื้นของส่วนผสมมีพอเหมาะ ในขณะที่การผสมของกรรมวิธีที่ 1 (T1) ซึ่งเป็นกรรมวิธีของเศษฟางข้าวนั้น จะต้องหมักฟางข้าวเสียก่อน โดยการรดน้ำให้กับฟางที่สับเป็นชิ้นเล็ก ๆ ให้ชุ่ม หมักไว้ 3 วัน จากนั้นกลับกองปุ๋ยฟางพร้อมกับใส่ยูเรียลงไปด้วย คลุกให้เข้ากัน ขึ้นกองแล้วคลุมแผ่นพลาสติกเพื่อหมักต่อ กลับกองปุ๋ยอีกทุก 3 วัน อีก 2 ครั้ง จากนั้นนำมาผสมกับส่วนผสมอื่น ๆ ที่เหลือ คลุกให้เข้ากัน
บรรจุส่วนผสมของก้อนเชื้อลงในถุงพลาสติกทรงสี่เหลี่ยม ใส่ส่วนผสมถุงละ 800 กรัม อัดให้แน่น ใส่คอขวดและอุดปากขวดด้วยจุกสำลีทับด้วยกระดาษ รัดยางรัด แล้วนำไปนึ่งฆ่าเชื้อด้วยหม้อนึ่งพื้นบ้าน นึ่งซ้ำกัน 3 ครั้งโดยแต่ละครั้งเว้นระยะห่าง 4-5 ชั่วโมง
การเตรียมเชื้อบริสุทธิ์จากดอกเห็ดนางฟ้าภูฐานนั้นปฏิบัติตามวิธีการมาตรฐานโดยใช้อาหารวุ้น PDA ส่วนอาหารขยายเชื้อเป็นอาหารเมล็ดข้าวฟ่างและปฏิบัติตามวิธีมาตรฐานเช่นกัน เมื่อเส้นใยในขวดเมล็ดข้าวฟ่างพร้อมสำหรับการถ่ายเชื้อแล้วจึงถ่ายเชื้อลงในก้อนเชื้อของกรรมวิธีต่าง ๆ ทั้ง 10 กรรมวิธีในวันเดียวกัน บ่มก้อนเชื้อในห้องเดียวกันนานประมาณ 45 วัน ในสภาพอุณหภูมิ 25-30 องศาเซลเซียส จากนั้นนำไปเปิดดอกเห็ดในโรงเรือนเปิดดอกเห็ดที่มีอุณหภูมิ 32-35 องศาเซลเซียสและมีความชื้นสัมพัทธ์ 70-90 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเปิดก้อนเชื้อในโรงเรือนเปิดดอกเห็ดได้นาน 7-14 วันมีดอกเห็ดขนาดเล็กอยู่ที่บริเวณปากถุงก้อนเชื้อแล้ว
การเก็บเกี่ยวดอกเห็ดทำเป็นรุ่นตามความสามารถในการสร้างดอกเห็ดของแต่ละกรรมวิธี เมื่อก้อนเชื้อหมดสภาพแล้วจึงรวบรวมผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ทั้งหมดมาวิเคราะห์ความสามารถ ในการผลิตดอกเห็ดนางฟ้าภูฐานของก้อนเชื้อกรรมวิธีต่าง ๆ รวมทั้งบันทึกการเปลี่ยนแปลงตลอดจนปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างขั้นตอนต่าง ๆ ตลอดการเพาะเลี้ยงเพื่อประกอบการวิเคราะห์ผลการทดลอง
ผลการศึกษาทดลองวิจัย
การศึกษาประสิทธิภาพของวัสดุพื้นบ้านบางชนิดในการเป็นวัสดุหลักในส่วนผสมของก้อนเชื้อที่ใช้เพาะเลี้ยงเห็ดนางฟ้าภูฐานนั้นเป็นการเลือกใช้วัสดุที่เป็นเศษของพืชหรือวัสดุที่เป็นผลพลอยได้จากการผลิตพืชผลทางการเกษตรได้แก่ เศษฟางข้าว เปลือกถั่วเหลือง รำหยาบ และ ชานอ้อย ส่วนเศษวัชพืชนั้นเป็นเศษจอกหูหนูแห้ง สำหรับการใช้วัสดุจากต้นไม้ที่หาง่ายนั้นใช้ไม้ 4 ชนิดด้วยกัน โดยใช้ขี้เลื่อยจากไม้เหล่านั้นซึ่งได้แก่ ไม้ไมยราพยักษ์ ไม้กระถินยักษ์ ไม้มะม่วง และ ไม้ฉำฉา วัสดุทดลองดังระบุมานี้ทำให้ได้กรรมวิธีการทดลองรวม 9 กรรมวิธีจากวัสดุพื้นบ้าน 9 ชนิด โดยมีกรรมวิธีควบคุมเป็นขี้เลื่อยไม้ยางพาราซึ่งเป็นวัสดุหลักที่ใช้กันทั่วไปในการผลิตก้อนเชื้อเพื่อเพาะเลี้ยงเห็ดนางรมทุกชนิดเป็นการค้า
ผลการทดลองวิเคราะห์จากค่าเฉลี่ยของผลผลิตรวมของดอกเห็ดสดที่เก็บเกี่ยวได้จากกรรมวิธีการเพาะเลี้ยงเห็ดนางฟ้าภูฐานในกรรมวิธีต่าง ๆ ตลอดการทดลอง รวมทั้งการแสดงออกในแง่อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลผลิต โดยมีผลการวิเคราะห์ดังนี้
1. ผลผลิตรวมของดอกเห็ดสด ผลของการเก็บเกี่ยวผลผลิตดอกเห็ดสดจากกรรมวิธีการทดลอง 10 กรรมวิธีแสดงในลักษณะของค่าเฉลี่ยของผลผลิตรวม (กรัม) ต่อก้อนเชื้อ 1 ก้อน ซึ่งแสดงไว้ในลักษณะของแผนภาพในภาพที่ 27 จากแผนภาพจะเห็นว่ากรรมวิธีที่ 1 ซึ่งเป็นกรรมวิธีของวัสดุฟางข้าวให้ผลผลิตดอกเห็ดสดเฉลี่ยต่อก้อนเชื้อ 1 ก้อนสูงกว่ากรรมวิธีอื่น ๆ และสูงกว่ากรรมวิธีควบคุม คือ กรรมวิธีที่ 10 เพียงเล็กน้อย ในขณะที่กรรมวิธีอื่น ๆ นั้นมีกลุ่มที่ให้ผลผลิตเฉลี่ยปานกลางถึงค่อนข้างสูงเป็นกรรมวิธีของการใช้ขี้เลื่อยไม้ต่าง ๆ ทั้งหมด ซึ่งให้ผลผลิตใกล้เคียงกันและอีก 1 กรรมวิธีเป็นวัสดุชานอ้อยแห้ง ในขณะที่กรรมวิธีจอกหูหนูแห้งให้ผลผลิตในระดับค่อนข้างต่ำ แต่กรรมวิธีเปลือกถั่วเหลืองและรำหยาบซึ่งได้ผลไล่เลี่ยกันนั้นเป็นชุดที่ได้ผลผลิตต่ำมากและต่ำที่สุด
ภาพที่ 27 แผนภาพแสดงค่าเฉลี่ยของผลผลิตของดอกเห็ดสด (กรัม) ต่อก้อนเชื้อ 1 ก้อนของกรรมวิธีต่าง ๆ
2. ช่วงเวลาที่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิต เป็นช่วงเวลานับเป็นวันจากการเก็บเกี่ยวผลผลิตของดอกเห็ดสดรุ่นแรกไปจนถึงรุ่นสุดท้ายก่อนที่ก้อนเชื้อจะหมดสภาพ ผลการบันทึกแสดงไว้ในแผนภาพของภาพที่ 28 ซึ่งจะเห็ดว่าก้อนเชื้อขี้เลื่อยทุกกรรมวิธีรวมทั้งกรรมวิธีควบคุมให้ผลใกล้เคียงกันมากและอยู่ในกลุ่มที่มีค่าสูงกว่ากรรมวิธีที่เป็นก้อนเชื้อเศษวัสดุยกเว้นกรรมวิธีของฟางข้าวและชานอ้อย ส่วนกรรมวิธีจอกหูหนูนั้นให้ผลผลิตต่ำกว่าและมีประสิทธิภาพเพียงประมาณครึ่งหนึ่งของกลุ่มที่ให้ค่าเฉลี่ยสูง สำหรับกรรมวิธีรำหยาบและเปลือกถั่วเหลืองนั้นได้ค่าต่ำสุด
3. จำนวนวันที่ก้อนเชื้อใช้ในการสร้างเส้นใยให้เต็มก้อน ค่าเฉลี่ยของผลการบันทึกนี้แสดงในภาพที่ 29 ซึ่งเป็นแผนภาพของค่าเฉลี่ยที่บันทึกเป็นวัน จากแผนภาพจะเห็นว่ากรรมวิธีส่วนใหญ่ใช้เวลาไล่เลี่ยกันและไม่ค่อยแตกต่างจากกรรมวิธีควบคุม ส่วนกรรมวิธีที่ใช้เวลายาวนาน คือ กรรมวิธีเปลือกถั่วเหลือง ในขณะที่กรรมวิธีรำหยาบและขี้เลื่อยไม้ฉำฉานั้นดีกว่าเปลือกถั่วเหลืองเล็กน้อย
ภาพที่ 28 แผนภาพแสดงค่าเฉลี่ยของช่วงเวลา (วัน) ที่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ในกรรมวิธีต่าง ๆ
ภาพที่ 29 แผนภาพแสดงค่าเฉลี่ยของจานวนวันที่ใช้ในการขยายเส้นใยจนเต็มก้อนเชื้อในกรรมวิธีต่าง ๆ
4. ความเสียหายของก้อนเชื้อ ซึ่งบันทึกในระยะการบ่มเชื้อโดยคิดค่าความเสียหายเป็นเปอร์เซ็นต์จากจำนวนของสิ่งทดลองทั้งหมดในแต่ละกรรมวิธี โดยมีจำนวนก้อนเชื้อขณะเริ่มต้นการทดลองเป็น 100 ก้อนในทุกกรรมวิธี ผลการบันทึกแสดงให้เห็นความรุนแรงของความเสียหายของก้อนเชื้อในกรรมวิธีต่าง ๆ ดังเห็นได้จากแผนภาพในภาพที่ 30 โดยที่ก้อนเชื้อของกรรมวิธีเปลือกถั่วเหลืองและรำหยาบเสียหายมากที่สุดและความเสียหายสูงมากถึง 91 และ 57 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ ในขณะที่กรรมวิธีอื่น ๆ รวมทั้งกรรมวิธีควบคุมผลเสียหายเกิดขึ้นน้อยมาก คือ 0-4 เปอร์เซ็นต์
ภาพที่ 30 แผนภาพแสดงความเสียหายของก้อนเชื้อ (เปอร์เซ็นต์) ในกรรมวิธีต่าง ๆ
ผลการทดลองที่ได้ในครั้งนี้เมื่อวิเคราะห์จากภาพรวมแล้วจะเห็นว่า กรรมวิธีที่ได้ผลใกล้เคียงกับกรรมวิธีควบคุม คือ ก้อนเชื้อเศษฟางข้าว ซึ่งให้ผลผลิตดอกเห็ดสูง เก็บเกี่ยวผลผลิตได้นาน จำนวนวันที่ใช้ในการบ่มเชื้อสั้น และความเสียหายของก้อนเชื้อในระยะบ่มเชื้อต่ำมาก ในขณะที่วัสดุเศษพืชอื่น ๆ ให้ผลต่ำกว่าโดยเฉพาะเปลือกถั่วเหลืองและรำหยาบนั้นต่ำกว่ามาก ส่วนจอกหูหนูนั้นอยู่ในระดับปานกลาง ผลของความแตกต่างนี้ถ้าพิจารณาจากวิธีการเตรียมก้อนเชื้อจะเห็นว่าฟางข้าวน่าจะได้เปรียบเศษวัสดุอื่น ๆ เนื่องจากมีการหมักเศษฟางก่อนที่จะนำมาทำก้อนเชื้อในขณะที่เศษวัสดุอื่น ๆ ไม่ได้ผ่านการหมักมาก่อนจึงอาจจะมีผลในการปลดปล่อยธาตุอาหารออกมาในก้อนเชื้อได้น้อยกว่าฟางหมัก อนึ่ง การที่เปลือกถั่วเหลืองและรำหยาบให้ผลต่ำมากในทุกด้านนั้นเป็นเพราะว่าก้อนเชื้อเน่าเสียหายในเปอร์เซ็นต์ที่สูงมาก ดังนั้นการที่จะสรุปว่าวัสดุเศษพืชกรรมวิธีอื่น ๆ ได้ผลด้อยกว่าฟางข้าวมากมายนั้นคงจะไม่ได้จนกว่าจะมีการทดลองเพิ่มเติมและปรับปรุงวิธีการเตรียมก้อนเชื้อโดยการหมักเศษวัสดุชนิดอื่น ๆ ให้เหมือนกับฟางข้าวด้วย เพื่อให้เกิดความสม่ำเสมอของสิ่งทดลอง และติดตามผลโดยละเอียดจึงจะสามารถสรุปได้
สำหรับการใช้ขี้เลื่อยนั้นน่าจะสรุปได้ในขั้นต้นว่ากรรมวิธีต่าง ๆ มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับขี้เลื่อยไม้ยางพารา และน่าจะมีการศึกษาเพิ่มเติมโดยการปรับปรุงวีธีการเตรียมก้อนเชื้อเป็นต้นว่าการบดหรือสับเศษไม้ให้มีขนาดเล็กลงให้มีความสม่ำเสมอกันทุกกรรมวิธีเพื่อไม่ให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบตั้งแต่ระยะเริ่มต้น เนื่องจากขี้เลื่อยไม้ยางพาราย่อมจะมีขนาดของชิ้นเล็กกว่าขี้เลื่อยของไม้ในกรรมวิธีอื่นเพราะเป็นขี้เลื่อยที่ได้จากโรงเลื่อยไม้ ในขณะที่ไม้พื้นบ้านนั้นใช้เครื่องบดแทนการเลื่อย
ดังนั้นจากผลการวิเคราะห์ข้างบนนี้จึงสรุปได้ว่ามีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงในการใช้วัสดุพื้นบ้านไม่ว่าจะเป็นเศษพืช ซากวัชพืช หรือ ขี้เลื่อยของไม้ที่หาได้ง่ายก็ตาม แต่จะต้องมีการปรับปรุงวิธีการปฏิบัติให้ประณีตและสม่ำเสมอกว่าครั้งนี้ ตลอดจนต้องมีการทดลองซ้ำและเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำกว่านี้
สรุป อภิปราย และข้อเสนอแนะ
การศึกษาการลดต้นทุนการผลิตเห็ดนางรมภูฐานด้วยการใช้วัสดุพื้นบ้านมาเป็นส่วนผสมของก้อนเชื้อแทนขี้เลื่อยไม้ยางพารา พบว่าในกลุ่มของวัสดุที่เป็นเศษพืชและเศษวัชพืชนั้น ฟางข้าวที่ผ่านการหมักแล้วนำมาเป็นวัสดุหลักของก้อนเชื้อให้ผลทัดเทียมกับก้อนเชื้อขี้เลื่อยไม้ยางพาราในทุก ๆ ด้าน ซึ่งได้แก่ ผลผลิตรวมของดอกเห็ดสด ช่วงเวลาที่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตจากก้อนเชื้อ จำนวนวันในการเดินเส้นใยในห้องบ่มเชื้อ และ ความเสียหายของก้อนเชื้อในระยะบ่มเชื้อ แต่วัสดุอื่น ๆ คือ เปลือกถั่วเหลือง รำหยาบ ชานอ้อย และ จอกหูหนูแห้งนั้นแม้ว่าจะแสดงประสิทธิภาพต่ำก็ตามแต่ก็อาจจะเป็นผลของความไม่สม่ำเสมอในการเตรียมก้อนเชื้อ โดยเฉพาะไม่มีการหมักวัสดุเสียก่อนที่จะนำมาผสมเป็นก้อนเชื้อในขณะที่ฟางข้าวได้รับการหมักก่อน ส่วนขี้เลื่อยของไม้ที่หาได้ง่ายในพื้นที่ คือ ไม้กระถินยักษ์ ไม้ไมยราพยักษ์ ไม้มะม่วง และ ไม้ฉำฉานั้นแสดงศักยภาพค่อนข้างสูงในการนำมาใช้ทดแทนขี้เลื่อยไม้ยางพาราในทุก ๆ ด้านของการวัดผล