1. พระราชดำริ
วันที่19 กุมภาพันธ์ 2532 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริกับนายปราโมทย์ ไม้กลัด และคณะเจ้าหน้าที่ สำนักงาน กปร. ณ พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์จังหวัดเชียงใหม่ ความว่า ควรศึกษาพิจารณาวาง โครงการ และก่อสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำปิดกั้นแม่น้ำป่าสักที่บริเวณเขาถ้ำพระบ้านท่าสะบก ตำบลท่าคล้อ อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี โดยเร่งด่วน


เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ตั้งอยู่ที่บ้านแก่งเสือเต้น ตำบลหนองบัว อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี
ปิดกั้นแม่น้ำป่าสักขนาดความจุสูงสุด 960 ล้านลูกบาศก์เมตร
2. การดำเนินงาน
กรมชลประทาน ได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อปี2542 สามารถเก็บกักน้ำได้ 960 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้งในเขตลุ่มน้ำป่าสักและลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างทั้งนี้ตั้งแต่ปี 2543 กรมชลประทานได้พัฒนาระบบชลประทานเพื่อส่งน้ำสนับสนุน พื้นที่การเกษตรรวม 174,500 ไร่ดังนี้
- โครงการสูบน้ำพัฒนานิคม พื้นที่ชลประทาน 28,500 ไร่
-โครงการสูบน้ำ แก่งคอย-บ้านหมอ พื้นที่ชลประทาน 86,700 ไร่
-โครงการสูบน้ำพัฒนานิคม – แก่งคอย พื้นที่ชลประทาน 29,300 ไร่
-โครงการจัดหาน้ำเพื่อการเกษตร พื้นที่ชลประทาน 30,000 ไร่

แผนที่แสดงพื้นที่ชลประทานจำนวน4 โครงการเพื่อใช้ประโยชน์ในการสนับสนุน
การขาดแคลนน้ำให้กับเกษตรกรพื้นที่รวม 174,500 ไร่
นอกจากนั้นเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ได้นำระบบโทรมาตร มาใช้ในการคำนวณ พยากรณ์และคาดการณ์สถานการณ์น้ำในบริเวณลุ่มน้ำป่าสักตลอดจนการเก็บข้อมูล สถิติน้ำฝนน้ำท่า อย่างต่อเนื่องเป็นระบบ ทำให้สามารถควบคุมปริมาณน้ำในแม่น้ำป่าสักส่งผลให้ลดผลกระทบที่มีต่อปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาช่วยป้องกันและบรรเทาสภาวะอุทกภัยได้
ทั้งนี้เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ได้มีการจัดตั้งกลุ่มผู้ใช้น้ำเพื่อให้เกษตรกรเข้ามามีส่วนร่วมในด้านการบริหารจัดการน้ำ การดูแลบำรุงรักษาและการจ่ายค่ากระแสไฟฟ้าในการสูบน้ำ ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 81 กลุ่ม แบ่งเป็น
- โครงการสูบน้ำพัฒนานิคมและโครงการสูบน้ำพัฒนานิคม– แก่งคอย
มีกลุ่มพื้นฐาน 56 กลุ่ม กลุ่มบริหาร 5กลุ่ม รวม 61 กลุ่ม
- โครงการสูบน้ำแก่งคอย-บ้านหมอ มีกลุ่มพื้นฐาน 16 กลุ่ม กลุ่มบริหาร 4 กลุ่ม รวม 20กลุ่ม
3. ประโยชน์ของโครงการ
1. บรรเทาปัญหาอุทกภัย ให้กับพื้นที่บริเวณลุ่มน้ำป่าสักและพื้นที่ด้านท้ายเขื่อน เช่น จังหวัดสระบุรี พระนครศรีอยุธยา กรุงเทพมหานครและปริมณฑลซึ่งช่วยลดความเสียหายด้านเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยได้อย่างมหาศาล
2. ด้านการเกษตรกรรม เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ทำหน้าที่ส่งน้ำให้พื้นที่การเกษตรคิดเป็นปริมาตร 840 ล้านลบ.ม. และยังมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นอีกเนื่องจากความต้องการใช้น้ำเพื่อการเกษตรเพิ่มขึ้น
3. เพื่อการอุปโภค-บริโภคและอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นความต้องการรองลงมาจากการใช้น้ำเพื่อการเกษตร อันประกอบด้วยการส่งน้ำเพื่อใช้ผลิตน้ำประปาและใช้เพื่อกิจการของโรงงานอุตสาหกรรม ในพื้นที่จังหวัดลพบุรีและจังหวัดสระบุรี ส่งผลให้พื้นที่มีการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมสูงขึ้น
เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ส่งน้ำให้ช่วยเหลือพื้นที่การเกษตรครอบคลุมพื้นที่ 174,500 ไร่
4. เพื่อฟื้นฟู และรักษาสมดุลของระบบนิเวศน์ ผลจากการกักเก็บน้ำของเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ส่งผลให้ปริมาณน้ำใต้ดินบริเวณเขื่อนและพื้นที่ด้านท้ายน้ำมีระดับสูงขึ้นส่งผลประโยชน์ให้แก่ราษฎรในพื้นที่ในด้านการอุปโภค –บริโภค และเพื่อการเกษตรนอกจากนั้นยังสร้างความชุมชื้นให้แก่พื้นที่ป่าใหม่ที่ปลูกทดแทนให้มีความอุดมสมบูรณ์สร้างความหลากหลายให้แก่ระบบนิเวศน์
5. เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลา และแหล่งประมงน้ำจืดขนาดใหญ่ เนื่องจากลักษณะของเขื่อนมีลักษณะแบนราบ ทำให้แสงแดดและออกซิเจนกระจายตัวได้อย่างทั่วถึงทำให้ภายในอ่างเก็บน้ำมีความอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การขยายพันธุ์สัตว์น้ำเห็นได้จากผลการศึกษาวิจัยของคณะประมง มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ ที่พบว่าปัจจุบันภายในเขื่อนป่าสักมีหลากหลายของพันธุ์ปลาประมาณ 130 ชนิดพันธุ์เป็นชนิดพันธุ์ปลาที่พบเพิ่มขึ้น 52 ชนิด จากเดิมประมาณ 80 ชนิดพันธุ์ทำให้เขื่อนป่าสักเป็นแหล่งประมงที่สำคัญแห่งใหม่ของประเทศนอกจากนี้ยังเป็นการสร้างอาชีพ และรายได้ด้านการประมงให้แก่ราษฎรในพื้นที่อีกด้วย


ผลผลิตจากการประมงที่มีความหลากหลายมากขึ้น
หลังจากมีการก่อสร้างเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์
6. เป็นแหล่งท่องเที่ยว เนื่องจากเขื่อนมีลักษณะเป็นเหมือนทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ประกอบ การมีการสร้างเส้นทางเดินรถไฟผ่านบริเวณเขื่อนซึ่งเป็นจุดดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ตลอดสองข้างทางของถนนที่มุ่งหน้าสู่เขื่อนป่าสัก มีการปลูกต้นทานตะวันซึ่งจะบานสะพรั่งในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคมทำให้ในช่วงดังกล่าวมีจำนวนนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมเขื่อนป่าสักสูงขึ้น
เส้นทางรถไฟท่องเที่ยวที่พาดผ่านบริเวณพื้นที่กักเก็บน้ำของเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ส่งผลให้มีนักจำนวนเดินทางไปเยี่ยมชมเขื่อนป่าสักในช่วงวันหยุด
นอกจากนั้นในช่วงฤดูดอกทานตะวันบานเป็นช่วงที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากหลั่งไหลไปชื่นชมทุ่งทานตะวันในพื้นที่อ่างเก็บน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์
4. ผลกระทบที่ชัดเจนจากการก่อสร้างเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์
ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจนได้แก่ ความเข้มข้นปริมาณตะกอนท้ายน้ำที่ลดลง 2.28 เท่าจึงอาจกระทบกับอายุของอ่างเก็บน้ำ นอกจากนี้ การเพิ่มพื้นที่ชุมชนบริเวณท้ายอ่างเก็บน้ำจากเดิม10 ตารางกิโลเมตร ในปี พ.ศ. 2538 เป็น 575 ตารางกิโลเมตร ในปี พ.ศ. 2545 และจากการไม่มีแหล่งอุตสาหกรรมในปีพ.ศ. 2538 เป็นแหล่งอุตสาหกรรม จำนวน 67.04 ตารางกิโลเมตร ในปี พ.ศ. 2545ก่อให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพน้ำที่เกิดจากการปนเปื้อนของน้ำเสียจากชุมชนและอุตสาหกรรมและถึงแม้ว่าเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ทำให้เกิดความสูญเสียโบราณคดีในสภาพจริง 27 แห่งแต่เขื่อนก็ยังช่วยบรรเทาอุทกภัยให้กับโบราณสถานสำคัญ เช่นอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เป็นต้น ซึ่งการพัฒนาเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ทำให้เกิดการรวมตัวของชุมชนมากขึ้นมีเส้นทางคมนาคมที่เข้าถึงในชุมชนต่างๆ มากขึ้น การวิจัย ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ได้เสนอให้มีการอนุรักษ์ชุมชนดั้งเดิมการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ให้เป็นระบบให้มีการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องรวมถึงส่งเสริมการศึกษาวิจัยในพื้นที่จะทำให้สภาพแวดล้อมสังคมและวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์จะยังคงควบคู่กับการบริหารโครงการต่อไป
5. บทสรุป
ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับโครงการนอกจากผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นโดยตรงจากการใช้น้ำที่มีเสถียรภาพมากขึ้นในด้านการอุปโภคบริโภคการสร้างรายได้ทั้งภาคการเกษตร การประมงในอ่างเก็บน้ำ และอุตสาหกรรมแล้วเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ยังมีประโยชน์ด้านการบรรเทาอุทกภัย รายได้จากการท่องเที่ยว การฟื้นฟูด้านสิ่งแวดล้อมโดยการรักษาคุณภาพน้ำจากการไล่น้ำเสียและน้ำเค็มบริเวณท้ายเขื่อนลงมาถึงบริเวณกรุงเทพมหานครและปริมณฑลทำให้มีผลประโยชน์สุทธิ เท่ากับ 49,788.51 ล้านบาทสัดส่วนผลประโยชน์ต่อต้นทุนเท่ากับ 1.39และอัตราผลตอบแทนภายในโครงการเท่ากับร้อยละ 16.75 ทั้งนี้อาจทำให้ผลประโยชน์โครงการสูงมากขึ้นถึง 63,701.24 ล้านบาท หากมีการพัฒนาและบริหารโครงการที่ดีอย่างต่อเนื่องด้วย
สรุปได้ว่าผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นภายหลังจากมีเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์มีมากกว่าต้นทุนของทรัพยากรที่ใช้ไปในโครงการทั้งทางตรงและทางอ้อมนับเป็นตัวอย่างการบริหารโครงการยุคใหม่ การศึกษาของ สกว. ได้เสนอแนะให้กรมชลประทานเป็นหน่วยงานหลักในการบริหารจัดการโครงการโดยประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งเรื่องแหล่งน้ำต้นทุน ผู้ใช้น้ำ รวมถึงการส่งเสริมอาชีพและการพัฒนาชุมชนบริเวณเขื่อนอย่างยั่งยืนโดยให้มีการประเมินผลการดำเนินการอย่างสม่ำเสมอทุก 10 ปีเพื่อความสำเร็จและความยั่งยืนของโครงการสมเจตนารมณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงให้กำเนิดโครงการสืบต่อไป
ที่มา : สำนักประสานงานโครงการพื้นที่ 1
ข้อมูล ณ วันที่ : 28 กุมภาพันธ์ 2557
สามารถดาวน์โหลด .pdf ได้ที่นี่